ชื่อของ ทวี เที่ยงวิเศษ หรือ อาทิตย์ ทะลุฟ้า คงไม่ได้เป็นที่รู้จักมานัก ด้านหนึ่งเขาไม่ใช่แกนนำ ผู้ปราศรัยหลักของกลุ่มแต่ด้วยการยืนยันของสมาชิกกลุ่มทะลุฟ้าหลายคน อาทิตย์ คือคนทำงาน คนสำคัญของกลุ่ม พูดในภาษาวัยรุ่น พวกเขาพูดกันว่า อาทิตย์สามารถ "รับจบ" ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นงานเสี่ยงขึ้นที่สูงอย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย งานเทคนิคเครื่องเสียง ไปจนถึงงานใช้แรงต่างๆ
ในการทำกิจกรรมชุมนุมต่อเนื่องของกลุ่มทะลุฟ้าช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยต่อเนื่อง หลายคนอาจจะเคยเห็นเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาคือใคร บางครั้งอาทิตย์จะปีนขึ้นไปบนพานรัฐธรรมนูญนำผ้าขึ้นไปคลุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บางวันเขานั่งอยู่บนยอดอนุสาวรีย์รอจนจบงานเพื่อรอโปรยใบปลิวหลายพันแผ่น นั่นแหละ อาทิตย์
ชายวัย 35 ปี ที่เพิ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับกลุ่มทะลุฟ้าเมื่อต้นปีที่ผ่านมาจากการจัดกิจกรรมเดินทะลุฟ้า 247.5 กิโลเมตรจากโคราช สู่กรุงเทพมหานคร ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงหมายจับขณะเดินทางไปให้กำลังใจมิลลิ ดนุภา คณาธีรกุล ศิลปินแร็ปเปอร์ ที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาดูหมิ่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ สน.นางเลิ้ง เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2564 โดยในคดีนี้เขาไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อน
หมายจับฉบับดังกล่าวออกโดยศาลอาญาเมื่อวันที่ 13 ก.ย. โดยมี พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา พนักงานสอบสวน สน.พญาไท เป็นผู้ร้องขอออกหมาย ระบุข้อกล่าวหา 5 ข้อหา ได้แก่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 ประกอบมาตรา 140 ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, มาตรา 391 ทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, มาตรา 190 หลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานฯ, ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
ในหมายจับยังระบุเหตุที่ศาลใช้ออกหมายจับ ว่าอาทิตย์ได้หรือน่าจะกระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี รวมถึงได้หรือน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี โดยที่อาทิตย์เองก็ไม่เคยได้รับหมายเรียกจาก สน.พญาไท มาก่อน ทั้งมาแสดงตัวต่อตำรวจในคดีต่างๆ ตามปกติ โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี
ร.ต.ท.นนท์กฤช สุขมณี รองสารวัตรสอบสวน สน.พญาไท ได้แจ้งข้อหาต่ออาทิตย์ ใน 5 ข้อกล่าวหา ตามหมายจับดังกล่าว และระบุพฤติการณ์โดยสรุปว่า เหตุในคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 64 ซึ่งมีการจัดการชุมนุม #ม็อบ3กันยา #ราษฎรไม่ไว้วางใจมึง ที่แยกราชประสงค์ และ พ.ต.ต.ไพบูลย์ สอโส ผู้กล่าวหาในคดีนี้ ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ติดตามจับกุมผู้ขับขี่รถเครื่องขยายเสียง และอุปกรณ์ที่ใช้ในการชุมนุมเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยได้ติดตามรถยนต์กระบะที่ติดตั้งเครื่องเสียงคันหนึ่งไปภายหลังการชุมนุม ไปจนถึงหน้าโรงพยาบาลพญาไท 2 ตำรวจจึงได้เข้าแสดงตัว เพื่อขอทำการตรวจสอบ พร้อมทำการจับกุมชาย 4 คนในรถ เพื่อนำตัวไปยังกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้กล่าวหาอ้างว่าระหว่างกำลังเข้าควบคุมตัว อาทิตย์ พร้อมผู้ถูกจับกุมอีก 1 ราย ได้มีกลุ่มมวลชนหลายคนเข้ามายื้อแย่งตัว และขัดขวางการจับกุมของตำรวจ จนเกิดการชุลมุนขึ้น หลังจากนั้นอาทิตย์ และชายไม่ทราบชื่อหลายคน ได้เข้ามารุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ โดยชกต่อยที่ใบหน้า พ.ต.ต.ไพบูลย์ สอโส จนถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลวิภาวดี จากนั้นผู้ถูกจับกุมสองรายดังกล่าวจึงได้หลบหนีจากการควบคุมของเจ้าหน้าที่ไป ผู้กล่าวหาจึงได้มาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีที่ สน.พญาไท
ศาลอาญาได้มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหา และไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา และพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบคำคัดค้านของพนักงานสอบสวนแล้ว เห็นว่าศาลเคยมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีอื่นมาก่อนหน้าแล้ว โดยกำหนดเงื่อนไขมิให้ผู้ต้องหาไปกระทำการในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหา หรือเข้าร่วมชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่ผู้ต้องหามิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแต่ประการใด กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก จึงยกคำร้อง” คำสั่งลงนามโดย นายเทวัญ รอดเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หลังการชุมนุม #ม็อบ3กันยา ที่อาทิตย์ ถูกกล่าว จากข้อมูลของ Mob Data Thailand ที่ติดตามสังเกตการณ์การชุมนุมทางการเมืองระบุว่า ช่วงเวลาประมาณ 20.24 น. บริเวณบีทีเอสสนามเป้า ชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบได้เข้าตรวจสอบรถของทีมทะลุฟ้า โดยมีการขับรถปาดหน้าเพื่อให้หยุดรถ ทั้งเข้าทุบรถ และล็อคคอผู้ที่อยู่ในรถให้ลงมาจากรถ ทำให้เกิดเหตุโต้เถียงกัน ก่อนมีขบวนรถตำรวจในเครื่องแบบเริ่มตามมาสมทบ พร้อมทำการจับกุมในลักษณะกระชากตัวผู้อยู่ในรถออกมาด้วย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางไปเยี่ยมอาทิตย์ หลังเขาหายป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 และต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์นานร่วมเดือน ทนายต้องเข้าเยี่ยมอาทิตย์ด้วยการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ โดยไม่ได้เจอกับอาทิตย์แม้แต่ภาพเคลื่อนไหวผ่านจอทีวีเช่นทุกครั้ง เพราะเขาเพิ่งถูกย้ายตัวจากแดน 3 มายังแดน 5 จึงต้องถูกกักกันตัวไว้ตามมาตรการป้องกันโควิดของเรือนจำ
"อายุ 35 แล้ว ทำไมถึงมาเคลื่อนไหวกับขบวนการนักศึกษา-กลุ่มทะลุฟ้าได้’ ทนายถามด้วยความสงสัย เพราะด้วยอายุที่ต่างจากสมาชิกกลุ่มทะลุฟ้าคนอื่นๆ อยู่หลายปี ในช่วงวัยนี้เขาน่าจะเป็นหนุ่มวัยทำงานคนหนึ่งที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่กับการสร้างเนื้อสร้างตัวเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
อาทิตย์เล่าว่า เดิมทีตนเองเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อก่อนเคยทำงานเป็นช่างเชื่อมที่โรงงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ต่อมาเมื่อตกงานจึงเดินทางเข้ากรุงเทพ ก่อนได้ร่วมทำกิจกรรมเดินจากจังหวัดนครราชสีมาสู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับกลุ่มทะลุฟ้า เป็นระยะทางกว่า 247.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินกว่า 15 วัน เพื่อเรียกร้องให้ประยุทธ์ลาออก และปักหลักนอนชุมนุมข้างทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลาอีกกว่า 16 วัน ต่อมาเขากับคนอื่นๆ ถูกจับกุมและสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐในเช้าวันที่ 28 มี.ค. อาทิตย์ยังคงยืนหยัดอยู่ร่วมกับกลุ่มทะลุฟ้าจนถึงทุกวันนี้
ไม่นานมานี้ ผู้ที่ถูกคุมขังในคดีชุมนุมที่ดินแดงได้ทยอยถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำแล้วบางส่วน ด้วยเงื่อนไขห้ามเดินทางออกจากเคหสถานในช่วงเวลา ตี 5 ไปจนถึง บ่าย 3 โมง และต้องติดกำไล EM ด้วย ในการเยี่ยมครั้งนี้ ทนายจึงนำเงื่อนไขการให้ประกันในลักษณะดังกล่าว มาพูดคุยกับอาทิตย์ว่าเขาคิดเห็นเช่นไรกับข้อจำกัดเช่นนี้ เพื่อแลกกับการได้อิสรภาพกลับคืน
อาทิตย์ตอบกลับว่า ยินดีหากจะขอประกันด้วยเงื่อนไขให้ติดกำไล EM แต่ยืนกรานไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเงื่อนไขกำหนดเวลา เข้า-ออกบ้าน เพราะคิดเห็นว่าเป็นการจำกัดอิสรภาพที่เกินกว่าเหตุ และที่สำคัญเขากลัวว่าเงื่อนไขนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการให้ประกันผู้ถูกคุมขังทางการเมืองคนอื่นๆ ต่อไปในอนาคต และหากเป็นเช่นนั้นเขายินดีที่จะถูกยึดอิสรภาพชั่วคราวไปเรื่อยๆ เช่นนี้จะยังดีกว่า
การเข้าเยี่ยมครั้งนี้ดูเหมือนว่าบทสนทนาจะไม่มีหัวข้ออะไรให้ถามตอบกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อพักหลังนี้แทบไม่มีข้อความหรือจดหมายจากคนอื่นๆ ฝากไปถึงอาทิตย์เลย จนทนายเองก็กลัวว่าอาทิตย์จะเสียกำลังใจไปเสียก่อน
เมื่อถามถึงครอบครัวของเขา อาทิตย์สูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปหลายปีแล้ว ยังคงมีเพียงญาติคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ไกลถึงอุบลฯ ซึ่งอาทิตย์ก็ไม่อยากติดต่อไปเพื่อสร้างความลำบากใจให้พวกเขาสักเท่าไหร่ แม้ทนายจะคะยั้นยะคอถามทุกครั้งที่เจอกันด้วยความเป็นห่วงว่า ‘อยากฝากข้อความไปถึงคนที่บ้านไหม’ แต่เขาก็ปฏิเสธทุกครั้ง
สิ่งนี้ทำให้ทนายย้อนคิดถึงสิ่งที่ ‘ไผ่’ จตุภัทร์ พูดแสดงความเป็นห่วงถึงเพื่อนว่า “อาทิตย์เป็นคนที่ชอบเกรงใจและเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ”
เขาไม่เคยฝากส่งข้อความหาครอบครัวของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ‘ไม่อยากรบกวนพวกเขา’ ชายหนุ่มตอบด้วยเหตุผลสั้นๆ ในทางกลับกัน อาทิตย์เป็นธุระคอยนำข้อความจากเพื่อนผู้ต้องขังคนอื่นๆ ในเรือนจำที่ต้องการส่งถึงญาติ ฝากทนายไปบอกครอบครัวพวกเขาอยู่เสมอๆ แม้ไม่ใช่ผู้ต้องขังคดีทางการเมือง
คนแล้วคนเล่า ข้อความแล้วข้อความเล่าที่ทนายต้องสวมบทเป็น ‘ผู้ส่งสารเฉพาะกิจ’ โดยมีอาทิตย์เป็นตัวกลางรวบรวมรับฝากจากเพื่อนผู้ต้องขังหลากหลายคน ซึ่งจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเยียนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ดูแล้วจะเป็นจริงอย่างที่ไผ่พูดว่าเขาเป็นห่วงคนรอบข้างมากกว่าตัวเองเสมอ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและบั่นทอนจิตใจเช่นครั้งนี้ก็ตาม ทุกครั้งที่ทนายได้เข้าเยี่ยมอาทิตย์ เขาไม่เคยปริปากบ่นเรื่องไหน ไม่ว่าจะเรื่องการกิน หลับ นอน หรือความทุกข์ใจส่วนตน…เรื่องไหนๆ ก็ตาม
ทุกครั้งที่ทนายถามกับอาทิตย์ด้วยคำถามเดียวกันว่า ‘อยู่ได้ไหม’ ‘อาหารอร่อยไหม’ อาทิตย์ตอบเพียง ‘อยู่ได้สบายครับ’ และบ่อยครั้งที่เขาร้องขอ ‘ซอสถั่วเหลือง’ เพื่อเหยาะคลุกข้าวให้มีรสชาติดีมากขึ้นเท่านั้น
เรียงเรียบจาก :
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน - บันทึกเยี่ยม ‘อาทิตย์ ทะลุฟ้า’ : “ยังคงแบ่งปันยิ้มให้ทุกคนในทุกวัน แม้ตัวฉันใกล้จะถูกลืม”
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน - ‘อาทิตย์ ทะลุฟ้า’ ถูกตร.แสดงหมายจับคดี #ม็อบ3กันยา ทั้งทีไม่เคยได้หมายเรียก ก่อนรีบขอฝากขัง ศาลอาญาไม่ให้ประกัน