เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 24 มิ.ย. 2565 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในงานเสวนา 90 ปี แห่งการอภิวัฒน์สยาม "อุดมการณ์เพื่อชาติและราษฎรไทย" รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เรามีปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหมือนจะมีประชาธิปไตย แต่สุดท้าย การสังหารคนที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎร ทำให้ประชาธิปไตยของเราลุ่มๆ ดอนๆ วันเวลาผ่านไป เป็นเวลานาน มีการลุกขึ้นสู้ของพี่น้องประชาชนหลากหลายครั้ง เวลาตนอ่านเรื่องราวพวกเขา สิ่งที่ผมทำในวันนี้ ไม่ได้แตกต่างจากพวกเขาในวันนั้น การต่อสู้ในวันนั้น เรามีรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่หลายคนพูดกันว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เป็นความหวังที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแล้ว
รังสิมันต์ กล่าวว่า แต่เรามีความสุขได้ไม่นาน เพราะท้ายที่สุดปี 2549 และ 2557 พวกเขายึดอำนาจจากประชาชนไป ทำให้คนที่ออกมาปกป้องประชาธิปไตย ถูกดำเนินคดี นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารสร้างรัฐธรรมนูญที่สืบทอดเจตจำนง ปี 2550 ได้ทำให้เกิดรัฐบาลที่ไม่ตอบสนองต่อประชาชน สิ่งนี้นำมาสู่เหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 2553 กรุงเทพฯ เปลี่ยนจากเมืองฟ้าอมร ไปเป็นทุ่งสังหาร จนถึงวันนี้เรายังจับเอาตัวการใหญ่มาลงโทษไม่ได้
รังสิมันต์ โรม กล่าวว่า การรวมตัวของคนรุ่นใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พวกคุณผู้มีอำนาจทำลายความหวังเขาอยู่แล้ว เวลาคนรุ่นใหม่เขาเจอเจ้าหน้าที่ สิ่งที่เขาทำ ไม่มีอะไรเลย จบลงด้วยแก๊สน้ำตา และรถฉีดน้ำแรงดันสูง ขณะที่แกนนำถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาที่ร้ายแรง วันเวลาผ่านไป แกนนำบางส่วนถูกขัง
”ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน มีคนดำเนินคดีไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,800 ราย เราเรียกพวกเขาว่า พวกเขาคืออนาคตของประเทศนี้ แล้วเอาเขาไปขัง จะเป็นอนาคตของประเทศนี้ได้อย่างไร" รังสิมันต์ กล่าว
รังสิมันต์ เผยว่า ตลอด 2 ทศวรรษให้หลังจนถึงปัจจุบัน คำที่อยู่ในหัวคือ ไม่ตายก็ติดคุก ไม่ติดคุกก็บี้ภัย หรือไม่ก็ตายระหว่างบี้ภัย คำถามคือว่า เราเรียนรู้กันพอหรือยัง เชื่อว่า พี่น้องประชาชนรู้สึกพอแล้ว แน่นอนผู้มีอำนาจอยากให้หยุด แต่การหยุดหมายความว่าพี่น้องต้องหวาดกลัว คือสิ่งที่เขาตั้งใจให้เรารู้สึก ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พวกเราไม่เคยหยุด นั่นคือเหตุผลที่นักการเมือง พรรคการเมืองต้องการตอบสนองของประชาชน เราหยุดไม่ได้ มีหน้าที่สานต่อเจตจำนงของคณะราษฎร
ถ้าเราดูตลอด 90 ปี เราสามารถแบ่งผู้เล่น คนที่ 1 คือนายทุน คนที่สองคือขุนศึก และคนที่สามคือศักดินา นี่คือบทเรียนที่สำคัญที่พรรคก้าวไกลถอด ถ้าเราไม่ถอดคนเหล่านี้ ไม่มีทางที่ประเทศจะเท่ากันทุกคนได้ เราพยายามหยุดยั้งขุนศึก ผ่านกฎหมายต่างๆ เราอาจจะผ่านไม่ได้ทั้งหมด แต่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามันเริ่มแล้ว เราพยายามหยุดยั้ง ผ่านการสร้างความโปร่งใสในการอภิปราย
รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ทุกคนที่โดนตัดสิทธิทางการเมืองในพรรคอนาคตใหม่ ไม่มีใครเสียใจ ถ้าย้อนกลับไปจะทำเหมือนเดิม เราเอามาพูดในพรรคก้าวไกล ถ้าเราเลือกไม่มีกระดูกสันหลัง จะทรยศประชาชน ถ้าเรามีกระดูกสันหลัง เราจะมีความเสี่ยงที่จะโดนแบบที่พรรคอนาคตใหม่เคยโดน สุดท้ายเลือกข้อที่ 2 นำพาพวกเราไปสู่การแก้กฎหมายอาญา มาตรา112 เกี่ยวกับการเอาผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ วันนี้แม้จะไม่ได้ แต่เป็นบทสรุปสังคมว่า นี่คือสิ่งต้องเปลี่ยน
รังสิมันต์ โรม เสนอ 6 ข้อในการหยุดยั้งนายทุน ศักดินา ดังนี้ 1.เราไม่อยากไปสู่การรัฐประหาร เราจำเป็นต้องปฏิรูปกองทัพ
2.ถ้าเห็นปัญหาว่ารัฐราชการรวมศูนย์ที่ใช้อำนาจไม่ตอบสนอง ต่อความต้องการของประชาชน เราต้องยุติรัฐราชการรวมศูนย์
3.เห็นประจักษ์ชัดเจนว่ากลุ่มทุนผูกขาด กินรวบประเทศมีความสัมพันธ์กับคนในเครื่องแบบ ต้องช่วยกันให้ทลายทุนผูกขาด
4.ช่วงเวลาไม่กี่ปี มีคนถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เราเรียนรู้พอแล้ว การเสนอว่า เราจะต้องแก้ไขมาตรา112 เพื่อไม่ให้รังแกใคร
5.เราปล่อยให้พวกเขาอยู่ในเรือนจำไม่ได้ ต้องนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง
6.ถ้าเราไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน ที่เป็นของประชาชน ทำให้พรรคการเมืองยึดโยงกับประชาชน
รังสิมันต์ ได้หยิบยกคำพูดของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กล่าวไว้ว่า “ผมอยากฝากไปยังผู้มีอำนาจทุกท่านที่เชื่อว่าตัวเองจะเหนี่ยวรั้งเข็มนาฬิกาไว้ได้ ขออวยพรให้ท่านมีอายุยืนเพียงพอ ที่จะเห็นความพยายามของท่านล่มสลายไม่มีชิ้นดี ได้เห็นความต้องการของท่านถูกบดขยี้ด้วยกงล้อของเวลา ที่เดินหน้าไม่หยุดยั้ง และได้มีโอกาสรับรู้กับตาของท่านเอง ว่าผู้คน และยุคสมัย จะตราหน้าพวกท่านเอาไว้อย่างไรในประวัติศาสตร์ของชาติเรา”