วันที่ 2 มิ.ย. 2564 เวลา 15.45 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.) กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงกรณีไม่มีขีดความสามารถ ไม่มีความรู้เรื่องสาธารณสุข แต่กลับเอาอำนาจมาถือไว้เอง ขอยืนยันว่าตนให้เกียรติรองนายกรัฐมนตรีทุกคน สามารถคุยกับตนได้ทุกโอกาส ยิ่งสถานการณ์โควิดก็มีการหารือกันมาตลอด โดยเฉพาะ รมว.สาธารณสุข คุยกันบ่อยครั้งมากเพื่อพิจารณาร่วมกัน เป็นเหมือนที่ปรึกษา ไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนข้อมูลที่ได้รับมาจากหลายฝ่ายก็นำมาประมวลและได้ให้แนวทางกับศบค.เพื่อพิจารณาบริหารจัดการต่อไป ทั้งนี้ การที่บอกว่าตนไม่ให้เกียรติตนว่าคิดคนละทางมากกว่า ถ้าสมมติตนตั้งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาเป็นผอ.ศบค.และให้รองนายกรัฐมนตรีไปนั่งข้างๆ ค่อยว่าตน ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับโควิดถึงตนทุกวัน และก็ดูว่าจะแก้อย่างไร ติดปัญหาที่ตรงใด กฎหมายตรงไหนมันติด
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการบริหารงบประมาณเรื่องวัคซีน หลายคนบอกว่าเหตุใดไม่บรรจุไว้ในกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์มันก็ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อใด กรณีนี้ตนดึงออกมาเพื่อบริหารร่วมว่าจะจัดหางบประมาณได้อย่างไร งบเงินกู้ส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งงบกลาง สิ่งใดเร่งด่วนหรือไม่ทันก็จะสลับการใช้จ่ายเพื่อให้เพียงพอต่อการจัดหาวัคซีน ส่วนของงบกลางก็ไม่ได้จะให้ใครง่ายๆยืนยันว่าให้ความสำคัญกับความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ต้องผ่านกลไกตรวจสอบคัดกรอง ต้องมีแผนงานโครงการ ต้องใช้งบกลางอย่างประหยัดและคุ้มค่าเพื่อแก้ปัญหาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายหรือกรณีเร่งด่วน
ปัดเกาเหลา 'อนุทิน' ให้เกียรติทุกฝ่าย - ย้ำไม่ต้องการอำนาจ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ยืนยันว่ากับรองนายกรัฐมนตรี คุยกับตนเสมอและทุกวัน เพราะสถานการณ์โควิด ปัญหาอยู่ตรงใดแก้ให้ ไม่เคยทิ้ง ให้เกียรติท่านเสมอและไม่ใช่แค่ท่านคนเดียว แต่ให้เกียรติทุกคน รองนายกฯ ส.ส.ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เพราะเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อท่านเป็นผู้แทนประชาชน เสนออะไรที่เป็นประโยชน์ ทำให้หมด
อย่างไรก็ตาม ตนเองได้ถามกับรองนายกรัฐมนตรี ตลอดว่าอยากได้อำนาจกลับคืนไปแล้วหรือยัง ซึ่งก็ยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขทำไม่ไหว สั่งใครไม่ได้เพราะไม่สามารถสั่งการใครได้ สั่งการได้แต่กระทรวงสาธารณสุข ตนจึงอยากถามกลับไปยัง ส.ส.ว่าเรื่องนี้ใช่ความจริงหรือไม่ ถ้าใช่ก็โอเค แต่ถ้าไม่ใช่ก็ว่ากันอีกที เพราะทุกกระทรวงมีภารกิจและกฎหมายของแต่ละกระทรวง แต่ พ.ร.บ.โรคติดต่อเป็นของกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ไปไหวหรือไม่ ตนอยากคืนอำนาจไป แต่เขาก็ยังบอกว่าเอาไว้ก่อน นี่คือข้อเท็จจริง เพราะตนไม่อยากสร้างความขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น และยืนยันอีกว่ากระทรวงสาธารณสุข ดูแลทุกเรื่อง ไม่เคยขาด อนุมัติหมด โดยเฉพาะวัคซีนซึ่งให้อำนาจจัดซื้อจัดจองทุกอย่าง
“จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นทุกคน เมื่อคนภายนอกไม่เข้าใจ ต้องอธิบาย เพราะผมยืนยันในความสุจริตของผม และความตั้งใจการทำงานของผม ไม่ใช่ใช้อำนาจมาตลอด อำนาจมันอยู่ไม่นาน หลายคนต้องการอำนาจ แต่ผมไม่ต้องการอำนาจ ผมต้องการความร่วมมือ ร่วมใจ ถ้าไม่มีใครบิดเบือนรัฐบาล ผมไม่เคยตอบโต้ท่าน แต่ถ้าโจมตีเสียหายก็จำเป็น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
'ยุทธพงศ์' โต้นายกฯ ใช้หนี้จำนำข้าวเป็นแค่ดอกเบี้ยเงินกู้ ซัดกลับใช้หนี้ซื้ออาวุธ
เวลา 16.35 น.ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2565 ว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่าได้ใช้หนี้โครงการรับจำนำข้าวไปแล้ว 7.05 แสนล้านบาท จึงถามว่าไปใช้หนี้ตอนไหน เพราะเมื่อไปตรวจสอบข้อมูล ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ใช้หนี้ไปเพียง 6.5 แสนล้านบาท โดยเป็นการใช้ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่ใช่หนี้จำนำข้าว ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงใส่ร้าย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทำให้เสียหาย จึงสงสัยว่า เป็นการใช้หนี้ซื้ออาวุธสมัยเป็น ผบ.ทบ.หรือไม่
แฉกองทัพมีงบลับอื้อ อัดงบฯ วัคซีนไม่แน่นอน แต่เรือ-รถถังมา
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงกลาโหม มีงบลับจำนวนมาก กองทัพบก มีงบลับ 290 ล้านบาท กองทัพเรือ 62 ล้านบาท กองทัพอากาศ 30 ล้านบาท สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม 32 ล้านบาท กองบัญชาการกองทัพไทย 55 ล้านบาท รวมงบลับ 470 ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องชี้แจงว่าทำไมถึงเป็นงบลับและไม่เปิดเผย
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า สำหรับกองทัพบก มี 4 โครงการใหม่จัดซื้ออาวุธ เป็นเงิน 4,408 ล้านบาท และงบผูกพัน รวมทั้งสิ้น 22,657 ล้านบาท งบผู้พันที่ใช้ในปี 2565 จำนวน 9,449 ล้านบาท และในสภาวะที่ประชาชนเดือดร้อน ประชาชนล้มตาย กองทัพบกกำลังจะเอาเงินไปซื้อยานเกาะล้อยาง IAV Stryker วงเงิน 4515 ล้านบาท และยังมีโครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นงบผูกพันระหว่างปี 2564 - 2566 วงเงิน 4,226 ล้านบาท
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า สำหรับกองทัพเรือ มีงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธโครงการใหม่จำนวน 4,100 ล้านบาท เป็นงบผูกพันข้ามปี 11 โครงการ 45,175 ล้านบาท โดยใช้ในปี 2565 จำนวน 4,854 ล้านบาท ซึ่งกองทัพเรือมีโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ หรือ LPD 6,185 ล้านบาท และโครงการจัดหาเรือดำน้ำ จำนวน 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า สำหรับการจัดหาเรือดำน้ำ กองทัพเรือได้ถอนคำขอไปแล้วในปี 2564 แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับนำเอากลับมาเสนอสำนักงบประมาณใหม่ในปี 2565
ขณะที่ กองทัพอากาศ มีโครงการเสริมสร้างยุทโธปกรณ์ 1,931 ล้านบาท มีโครงการผูกพันข้ามปี 22 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 32,050 ล้านบาท โดยจะใช้ในปี 2565 นี้ 8,001 ล้านบาท กองทัพอากาศ มีโครงการจัดหาเครื่องบินโจมตีเบา วงเงิน 4,500 ล้านบาท โครงการพัฒนาการปฎิบัติการในห้วงอวกาศ หรือ Space Domain ความทรงพลังเหนือขอบฟ้า ระยะที่ 1 ปี 2564 - 2561 วงเงิน 1,470 ล้านบาท
“งบฯปี 2565 วัคซีนไม่แน่นอน แต่เรือรบและรถถังมาอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนและไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ขอให้สมาชิกคว่ำกฎหมายฉบับนี้ แล้วค่อยไปทำมาใหม่”
'พิธา' ปลุกสภาฯคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ
ต่อมา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า หากตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องพยายามปลดปล่อยภาระผูกพันโครงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีจำนวนมากกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะบินตรงไปเจรจากับโจ ไบเดนประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อขอยกเว้นภาระผูกพันธ์การจัดซื้ออาวุธทั้งหมดและอ้างอิงว่ารัฐมนตรีของไทยก็เคยดำเนินการมาแล้วในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งในอดีต
พิธา ฝากคำถามไปยังพรรคร่วมรัฐบาล ว่าการอภิปรายตลอด 3 วันที่ผ่านมา ที่มีการวิพากษ์การตัดงบกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณะสุข เรียกร้องให้คว่ำร่างกฏหมายงบประมาณฉบับนี้ และนำกรอบงบประมาณปี 2564 มาใช้ไปพลางก่อน ซึ่งจะทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้งบประมาณเพิ่ม 4000 ล้านบาทและกระทรวงศึกษาธิการก็จะได้งบประมาณเพิ่มเช่นกัน
โดยตั้งข้อสังเกตว่า หรือการอภิปรายตลอด3วันที่ผ่านมาเป็นเพียงลิเกโรงหนึ่ง เปรียบเป็นการอภิปรายอย่างราชสีห์แต่ลงคะแนนอย่างหนู เพียงเพื่อพรรคร่วมรัฐบาลต้องการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นวัคซีค -สัมปทานสร้างตึก -โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า
'มิ่งขวัญ' ซัดตั้งงบฯ นิติกรรมอำพราง ชี้ 'ประยุทธ์' อยู่ 7 ปี ทำงบขาดดุลเกิน 4ล้านล้าน
เวลา 18.00 น. มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 ว่า ขอตำหนิรัฐบาล ที่ไม่ได้นำบทเรียนทางเศรษฐกิจจากปี 2563 มาจัดทำงบประมาณในปี 2565 แม้แต่น้อย การตั้งงบประมาณปี 2565 เป็นนิติกรรมอำพราง โดยตั้งงบประมาณไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท รายได้จัดเก็บ 2.4 ล้านล้านบาท งบขาดดุล 7 แสนล้านบาท ถือเป็นงบประมาณขาดดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีทางจัดเก็บรายได้ตรงตามเป้าหมายอย่างแน่นอน
มิ่งขวัญ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มา 7 ปี กำลังจะเข้าปีที่ 8 ทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องเกิน 4.18 ล้านล้านบาท มีหนี้สาธารณะ 8.47 ล้านล้านบาท เงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบ 8 ปี 4 เดือน วัตถุดิบทางอาหารถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้ค่าครองชีพของคนไทยไม่อาจควบคุมได้ นอกจากนี้ ยังทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปีของหนี้ครัวเรือน สูงถึง 91%
“การหดตัวของเงินออมของคนไทยในวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 พบว่าลดลงเพียง 1.7% วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 ลดลง 2.9% แต่โควิดลดลงถึง 8.5% ที่รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ออกมาพูดให้คนเอาเงินออมออกมาใช้นั้น ไม่รู้อย่ามาพูด ถ้าให้ท่านบริหารต่อไปคนจะไม่มีกิน ต้องไปปล้น เพราะความเหลื่อมล้ำสูงสุด”
อัดรัฐบาลช่วงไร้โควิดหาเงินไม่เก่ง ก่อหนี้มหาศาล ทำ ศก.พัง บี้นายกฯ ลาออก
มิ่งขวัญ กล่าวว่า สำหรับ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แม้เศรษฐกิจโลกดี ไม่มีโควิด ก็หาเงินไม่เก่ง ตอนนี้เจอโควิดเลยหาไม่ได้ ซ้ำยังจ่ายเงินเกินตัว ก่อให้เกิดหนี้มหาศาล เศรษฐกิจพังแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มา 8 ปีงบประมาณ ได้พิสูจน์แล้วว่า ง่ายที่สุดคือการลาออก จึงขอกราบเรียนให้ท่านนายกฯลาออก จบอย่างสวยงาม ให้เขาจดจำท่านๆดี ท่านเอาประเทศนี้ไม่รอดแน่นอน เพราะสถานการณ์ดีๆ ก็ยังเอาไม่รอดเลย
มิ่งขวัญ ทิ้งท้ายว่า นี่เป็นเพียง EP1 สัปดาห์หน้าเราจะพบกันใหม่ ในการพิจารณา พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับประทานยาความดันให้ดี แล้วมาฟัง
'ประยุทธ์' ลั่นไม่ใช่เผด็จการ ย้ำคนไทยไม่มีความสุข ตัวเองก็ไม่มีสุข
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ใช้สิทธิชี้แจงอีกครั้งว่า "การทำงานวันนี้ ผมไม่ใช่เผด็จการ เพราะผมทำงานกับนักการเมือง ทำงานกับรัฐมนตรี ส.ส. เห็นว่าผมเปลี่ยนแปลงไปเยอะเหมือนกันแหละ แต่เสียงก็ยังดังเหมือนเดิม เพราะบางทีก็อัดอั้น ขอโทษด้วยแล้วกัน ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรกับใครทั้งสิ้น "
ทั้งนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันเดินตามแผนงานเหล่านี้ มันไปได้ ปีนี้ไม่ดี ปีหน้าก็หวังว่าจะดีขึ้น มันไม่ดีก็ทำต่อ ทำให้ดีที่สุด หลายคนบอกว่ายังไม่ดีที่สุด ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ได้มากกว่านี้ เพราะผมทั้งวันทั้งคืนผมไม่เคยมีความสุข
"ตราบใดที่คนไทยไม่มีความสุข ผมก็ไม่มีความสุข ผมไม่ใช่คนใจดำ และผมไม่ต้องการผลประโยชน์ นั่นคือผม " นายกรัฐมนตรี กล่าว
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันกลางสภาฯ ว่าต้นเดือน มิ.ย.จะได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ล็อตแรกที่ผลิตในประเทศไทย โดยสยามไบโอไซเอนซ์ ขอประชาชนไม่ต้องกลัวมีแอสตร้าเซนเนก้า ฉีดให้กับประชาชนที่ลงทะเบียนในหมอพร้อม ออนไซต์ ต่างๆ เพียงพอ สำหรับบุคคลที่อายุเกิน 60 ปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง