ไม่พบผลการค้นหา
ธนาคาร HSBC ประกาศเตรียมลดขนาดบริษัทลง 100,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมทยอยปลดพนักงานประมาณ 35,000 คนภายในระยะเวลา 3 ปี หลังผลกำไรลดลง 1 ใน 3 ในปี 2019

CNN รายงานว่า ธนาคาร HSBC ประกาศเตรียมลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลงราว 35,000 คนภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 15 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนพนักงานทั้งหมด โดยตั้งเป้าให้เหลือเพียง 200,000 คนเท่านั้น ถือเป็นหนึ่งในแผนการลดขนาดองค์กรซึ่งคาดว่าจะปรับขนาดลดลงไปถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามโฆษกของธนาคารยังไม่ระบุตัวเลขที่ชัดเจนว่าจำนวนพนักงานที่ถูกปลดจริงๆ คือเท่าใด

นอกจากนั้นธนาคาร HSBC จะเดินหน้าลดจำนวนธนาคารเพื่อการลงทุน และปิดสาขาของธนาคาร HSBC ในสหรัฐฯจำนวน 1 ใน 3 เพื่อเคลื่อนย้ายสรรพกำลังไปอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียแทน เพราะ 2 ภูมิภาคนี้คือแหล่งทำกำไรสูงสุดของบริษัท คาดว่าธนาคาร HSBC จะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ราว 7,200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.24 ล้านล้านบาทเมื่อการเปลี่ยนแปลงจบสิ้นในช่วงปี 2022

ขณะที่ผลกำไรเมื่อปี 2019 ของธนาคาร HSBC ก็ลดลงอย่างมาก โดยตัวเลขกำไรก่อนหักภาษีลดลงมาอยู่ที่ 13,300 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่เคยสร้างกำไรได้มากเกือบ 20,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ถือเป็นสัดส่วนที่ลดลงราว 1 ใน 3 หรือราว 33 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ส่งผลให้มูลค่าหุ้นในลอนดอนตกลงมากกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ทันทีหลังการประกาศแผนปรับลดขนาดองค์กรเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา

AFP - HSBC

การเปลี่ยนแปลงที่จะเปิดขึ้นอย่างแน่นอนอีกอย่างคือการแบ่งงานรับผิดชอบของตัวธนาคาร HSBC ออกเป็น 4 ภาคส่วนหลักตามพื้นที่ต่างๆ ของโลก คือ ภูมิภาคเอเชีย สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศอื่นๆ ทั่วโลก 

ทาง HSBC จะปรับสถานะการวางตัวในสหรัฐฯ ใหม่เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มค้าปลีกให้มากขึ้น เนื่องจากกลยุทธ์แบบเดิมทำให้กำไรในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมหาศาล ขณะที่กรุงลอนดอนของอังกฤษจะยังคงสถานะการเป็นเสาหลักและศูนย์กลางของธนาคารเพื่อการลงทุนของ HSBC ต่อไป ด้านทีมการตลาดและการธนาคารทั่วโลกจะหันไปให้ความสำคัญกับเอเชียและตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 

ที่ผ่านมาธนาคาร HSBC ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่างที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2019 ทั้งประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงซึ่งสิ่งผลให้การให้บริการกู้เงินนั้นสร้างผลกำไรได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ไปจนถึงสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างการออกมาปรท้วงรัฐบาลของชาวฮ่องกงหลายล้านคนติดต่อกันหลายเดือน และการระบาดของไวรัส โควิด-19 ที่ยังไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ