ไม่พบผลการค้นหา
กมธ.พัฒนาการเมือง เรียก ผบ.ตร.ชี้แจงกรณีเอกสารหลุดเตรียมสถานที่ควบคุมตัวแกนนำเยาวชน พร้อมเรียก 'สถาบันพระปกเกล้า-ilaw' ให้ข้อมูลแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ด้าน 'ปดิพัทธ์' ยันสังคมไทยต้องมีรัฐธรรมนูญใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วม ผ่าน ส.ส.ร.

ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร หรือ กมธ.พัฒนาการเมือง ให้สัมภาษณ์ถึงวาระการประชุม กมธ.พัฒนาการเมืองบ่ายวันนี้ (5 ส.ค.2563) ว่า มี 3 วาระ คือ 

1) กรณีชาวบ้านลำห้วยคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี ร้องเรียนที่ได้รับผลกระทบจากสารตระกั่ว ที่ศาลปกครองสูงสุดให้กรมควบคุมมลพิษกำจัดตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ให้ไม่เกินค่ามาตรฐานแต่ยังไม่ดำเนินการ ซึ่งจะเรียกตัวแทนกรมควบคุมมลพิษ มาชี้แจง

2) แนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดย ตั้ง ส.ส.ร.ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ซึ่งจะเชิญตัวแทนจากสถาบันพระปกเกล้าและโครงการกฎหมายอินเทอร์เน็ตเพื่อประชาชน หรือ ilaw ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้มาให้ข้อมูล ซึ่งจะไม่ซ้ำซ้อนกับ กมธ.ศึกษาแนวทางแก้ไข รัฐธรรมนูญ เพราะ กมธ.ชุดดังกล่าวศึกษาแนวทางการแก้ไข อาจแก้เพียงไม่กี่มาตราแต่ กมธ.พัฒนาการเมือง จะศึกษาแนวทางการยกร่างใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 2 ปี ดังนั้น ไม่ว่าจะมีการยุบสภาหรือมีการเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบันไปแล้ว แต่สังคมไทยก็จะต้องมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพราะเห็นสังคมปัญหาจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการยกร่างมาแล้ว

3) กรณีเอกสารหลุดเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ที่มีการจัดเตรียมสถานที่ไว้ควบคุมตัวแกนนำเยาวชน นักเรียน นักศึกษาที่ออกมาชุมนุมห้วงนี้ ซึ่งสังคมมีความเคลือบแคลงสงสัยและตั้งข้อกังขา ทางกมธ.พัฒนาการเมืองจึงเชิญระดับผู้บังคับบัญชา คือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. และ ผบ.กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน หรือ ตชด.มาชี้แจง ซึ่งต้องติดตามว่าจะส่งผู้แทนมา หรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจจะมาชี้แจงเอง

ยันไม่ใชเอกสารลับ เตรียม 'แผนกรกฎ 52' คุมแกนนำ

พล.ต.ต.ไพโรจน์ ทานธรรม ผู้บังคับการ หรือ ผบก.ตชด.ภาค 1 เป็นผู้แทน ตชด.ภาค 1 มาชี้แจงต่อกรรมาธิการชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการรักษาความสงบเรียบร้อยตาม "แผนกรกฎ 52" ซึ่งตำรวจท้องที่จะรับผิดชอบในพื้นที่ชุมนุม ทาง ตชด. เป็นเพียงหน่วยสนับสนุน ถ้าไม่ถูกร้องขอก็ไม่ได้ออกมาปฏิบัติการ ส่วนคำสั่งตาม "เอกสารหลุด" ที่ออกสู่สาธารณะ หรือเป็นเพียงขั้นตอนการปฏิบัติตามปกติของ ตชด.ภาค 1 อยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาหากมีการชุมนุมทางการเมือง กำลังสนับสนุนที่ส่วนกลางจะใช้ก็มักเป็นกำลังจาก ตชด.ภาค 1 โดยย้ำว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงการรายงานแจ้งความพร้อมของหน่วยงาน ในการเตรียมความพร้อมของสถานที่ ไม่ใช่เป็นการเตรียมเข้าควบคุมตัวใครแต่อย่างใด จึงไม่อยากให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด

พล.ต.ต. ไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวเห็นว่าการชุมนุมของประชาชนมีความเรียบร้อยดี อยู่ในกรอบกฎหมาย ไม่เข้าข่ายที่จะเข้าไปจับกุมได้ และผู้บังคัญชาทั้งนายกรัฐมนตรี หรือ ผบ.ตร. ไม่มีคำสั่งเจาะจงที่จะให้ไปจับคนนู้นคนนี้ หากจะมีการจับกุมต้องเป็นความผิดซึ่งหน้าหรือต้องเกิดเหตุและมีการกระทำความผิดก่อนเท่านั้น

ขณะที่พล.ต.ต.ณัฐ สิงห์อุดม รองผู้บัญชาการ หรือ รองผบช.ตชด. ระบุว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารลับ แต่ก็เป็นเอกสารภายใน ที่เผยแพร่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่อาจจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งกันในกลุ่มไลน์และหลุดออกไป ซึ่งเกิดจากมาตรการดูแลเรื่องนี้ที่ยังไม่รัดกุมพอ ส่วนการดำเนินการกับผู้ชุมนุมนั้นนายกรัฐมนตรีกำชับให้ใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะหรือกฎหมายปกติ ไม่ได้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

สำหรับการหาข่าวของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีลักษณะข่มขู่คุกคามและไม่ยอมแสดงบัตรประจำตัว พร้อมยืนยันว่า ในหน่วยงานที่ตนดูแลรับผิดชอบไม่ได้มีคำสั่งให้ดำเนินการลักษณะนี้ และนายกรัฐมนตรีและผบตร.ก็ไม่เคยสั่งการด้วยเช่นกัน แต่หากเป็นหน่วยงานอื่นนั้นตนไม่ทราบ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจหาข่าวหรือขอข้อมูลจากแกนนำหรือผู้ร่วมชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนหรือประชาชนก็ต้องแสดงบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่ หากไม่แสดงบัตร สามารถแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบได้