ไม่พบผลการค้นหา
ประธาน นปช.กล่าวสดุดีรำลึก วีรชน 10 ปี 10 เมษา และ 19 พฤษภา 2553 พร้อมย้ำจุดยืน ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เผย ภารกิจต่อไป คือการต่อสู้กับเผด็จการเศรษฐกิจที่ขูดรีด สูบเลือดเอาเปรียบประชาชน

นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวในรายการพิเศษวาระครบรอบ 10 ปี 10 เมษา / 10ปี พฤษภาคม 2553 ว่า ตนเข้าใจสถานการณ์ของบ้านเมืองว่าขณะนี้เรากำลังต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 และตนพยายามประคับประคองเสนอทางออกให้กับบ้านเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ประวัติศาสตร์ 10 ปี 10 เมษายน 10 ปี 19 พฤษภาคม 2553 นั้น เป็นประวัติศาสตร์ที่สร้างความเจ็บปวดให้กับประชาชน เป็นจำนวนมาก พร้อมย้ำว่า เนื้อหาของเหตุการณ์ ตั้งแต่ต้นจนจบมีความตาย ร่วม 100 กว่าชีวิต บาดเจ็บนับพันคน สูญสิ้นอิสรภาพนับไม่ถ้วน และ ตลอดระยะเวลาร่วม 10 ปีนี้ ตนได้ใช้เวทีรัฐสภา เวทีการชุมนุมเรียกร้องของพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดง และการแถลงข่าว จนเป็นเหตุให้มีการยื่นถอนประกันตัวแทบทุกสัปดาห์ในขณะนั้น ดังนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ตนได้พูดไว้ครบถ้วนแล้ว เเละมีการบันทึกประวัติศาสตร์ของส่วนอื่นๆไว้มากมาย 

แม้ลืมไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่อยู่ท่ามกลางความอาฆาตแค้น

การสดุดีวีรชน คารวะหัวใจนักสู้นั้น ไม่ใช่การเริ่มสร้างความแตกแยกขึ้นมาใหม่ แต่บทเรียนความเจ็บปวดของ 10 เมษา และ 19 พฤษภาคม 2553 ที่มีการเข่นฆ่าประชาชนที่มีความเห็นต่างและตั้งข้อกล่าวหา ตั้งแต่โค่นล้มสถาบัน เป็นผู้ก่อการร้าย พวกเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งตนพูดเสมอว่า สาเหตุที่ไม่ยอมหนีหลังจากเกิดเหตุการณ์ เพราะต้องการยืนหยัดทวงความยุติธรรม ให้กับคนที่ตายให้กับคนที่เจ็บ และคนที่สูญสิ้นอิสรภาพ ซึ่งตนได้อธิบายให้กับพี่น้องที่ได้รับความเจ็บปวดในช่วง 10 กว่าปีนี้ว่า เมื่อเรามีความเจ็บปวด ก็ให้นึกถึงพี่น้องของเราที่อยู่ในเรือนจำ เมื่อเข้าไปในเรือนจำ ก็บอกกับพี่น้องเราว่า ถ้าเจ็บปวด ให้คิดถึงพี่น้องเราที่เจ็บและตาย แม้ลืมไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่อยู่ทางกลางความอาฆาตแค้น แต่อยู่ของพวกเรานั้นเพื่อต้องการอธิบาย บทเรียนกับสังคมไทยว่า ไม่มีใครควรมาตายกับการเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยกันอีก ประชาธิปไตยของประเทศไทย ควรจะเป็นสันติประชาธิปไตย คือการเคารพในสิทธิเสรีภาพ และการตัดสินใจของประชาชน เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง และที่สำคัญที่สุดคือเป็นประชาธิปไตยที่ เราทนเห็นความต่างกันได้ 

นายจตุพรกล่าวว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ในวงผู้มีอำนาจชวนคุยเรื่อง สมานฉันท์ ตนและคณะ ได้ให้ความร่วมมือทุกครั้ง เพราะ ต้องการหาทางออกให้กับประเทศ โดยต้องไม่มีใครมาบาดเจ็บล้มตายอีก เพราะความเห็นที่แตกต่างมันไม่ควรที่จะมาฆ่ากันตายอีก ความเจ็บปวดเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีนั้นตนในฐานะที่ผ่านเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 มาก่อน เข้าใจดีว่า เมื่อผ่านเหตุการณ์มาใหม่ๆ คนจะคิดถึงเป็นจำนวนมาก รำลึกปีแรกคนก็จะมาก ปีถัดๆไปก็น้อยลงตามลำดับและญาติวีรชนก็สูงวัยตามลำดับ บ้างก็ล้มตายไปตามสังขาร นั่นเป็นสัจธรรมของคนที่ตายเพื่อเรียกร้องให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย และตนไม่ต้องการให้นักสู้เพื่อประชาธิปไตยลืมคนที่ร่วมต่อสู้มา แต่สิ่งที่เราทำได้คือการบันทึกประวัติศาสตร์ของคนที่เสียชีวิตด้วยการบันทึกเป็นบทเพลง และห้วง 10 ปีมานี้เราก็เห็นแล้ว คำว่า ประชาธิปไตยยิ่งห่างไกลตามลำดับ เพียงแต่เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง พยายามที่จะนำเสนอหาทางออกกันมาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงการลงประชามติรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่กลับถูกเล่นงานสารพัด  

เป็นเสื้อแดงเป็นจนวันตาย

วันนี้ตนอยู่ในฐานะประชาชนคนธรรมดา ไม่มีอะไรซับซ้อน แล้วไม่ว่าผลลัพธ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไรตนก็เป็นประชาชน ดังนั้นในวาระครบ 10 ปีนี้เรามีบทเรียนกันมากมาย เราได้รู้จักความเป็นพี่เป็นน้อง แม้ว่าวันนี้ เราจะห่างกัน 10 ปี ตนมักจะพูดเสมอว่า คนเป็นเสื้อแดงมันไม่มีที่ลาออก มันจะอยู่กับตัวและจะอยู่ไปจนตาย ตราบใดที่เรายังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย กับจุดยื่นการต่อสู้ของเรา องค์กร นปช.เป็นองค์กรการต่อสู้ที่มีมายาวนาน หลายคนตั้งคำถามว่ายังต้องมีองค์กร นปช.อยู่อีกหรือไม่นั้น ตนเป็นเสมือนคนที่รักษาศาลาไว้ไม่ให้ร้าง และจะให้คึกคักเหมือน 10 ปีที่เเล้วคงเป็นไปได้ยาก แต่ตอนนี้เรายังมีพี่น้องเราอยู่ในเรือนจำและบ้างอยู่ระหว่างการสู้คดี แม้จะทำอะไรได้ไม่มาก แต่ นปช.เป็นองค์กรที่ ประคับประคองทางจิตใจและความรู้สึก ซึ่งตนก็ได้บอกกับพี่น้องเสมอว่าไม่จำเป็นต้องมาอยู่รวมกัน อยู่ตรงไหนก็ได้ เพราะจุดยืนไม่ใช่ที่ยืน จุดยืนคือแก่นแท้และจิตวิญญาณของประชาธิปไตย และยังคงเชื่อว่าพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมายังคงมีจุดยืนประชาธิปไตย แม้ว่าเราจะไม่พบกัน  

นายจตุพร กล่าวอีกว่า เรามีหน้าที่ ในวันที่เราเป็นประชาธิปไตย ซึ่งตนพูดเสมอหลังจากเกิดเหตุการณ์ ว่า เรามีหน้าที่ไปบอกกับครอบครัวคนที่เสียชีวิตว่า คุณเป็นครอบครัวของวีรชน ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ดังนั้นครบรอบ 10 ปีนี้ตนเชื่อว่า เราอยากจะเห็นบ้านเมืองเป็น ประชาธิปไตย และในห่วงเวลานี้เราต้องการความสมัครสมานสามัคคีในการร่วมกันต่อสู้กับไวรัสโควิด 19 ตนจึงอยากเชิญชวนพี่น้องให้ร่วมมือกัน แม้ว่าเราจะเห็นต่างทางการเมืองก็ตาม แต่นี่เป็นเรื่องสงคราม แม้จะเป็นสงครามทางการเเพทย์ก็ตาม หากคนไทยต่างคนต่างคิดก็ไม่สามารถชนะสงครามครั้งนี้ได้ คนที่มีอำนาจต้องฟังประชาชน ประชาชนพร้อมฟังผู้มีอำนาจที่ฟังประชาชน 

"วันนี้เราเห็นสัจธรรมเผด็จการทหารตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่ที่น่ากลัวกว่าเผด็จการทหาร คือ เผด็จการทางเศรษฐกิจ ดังนั้นภารกิจต่อไป คือการต่อสู้กับเผด็จการเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเผด็จการที่ขูดรีด สูบเลือดเอาเปรียบประชาชน อย่างที่ไม่สามารถรับได้ ครบวาระ 10 ปี 10 เมษา ตนในฐานะประธาน นปช. ขอสดุดีวีรชน คุณูปการในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นเราจะไม่มีวันลืม"

อ่านเพิ่มเติม