ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ ยันย้ายอดีตอธิบดี DSI ไม่เกี่ยวปราบหมูเถื่อนแล้วเจอตอ ลั่นจะไม่ยอมให้เกิดในรัฐบาลนี้อย่างแน่นอน เชื่อย้ายเพราะคนไม่ถูกกับงาน ปัดไม่เกี่ยวการเมืองนายกฯไปยุ่งไม่ได้

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการปราบหมูเถื่อนว่า เรื่องหมูเถื่อนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ผ่านมาสื่อมวลชนก็ถามมาตลอด และ ตนเองก็ได้เน้นตลอดเวลาเพราะไม่ใช่แต่แค่เอาหมูเถื่อนเข้ามาแล้วผิดกฎหมายทำให้ผู้ประกอบการระดับกลางและรายย่อยไม่สามารถประกอบกิจการได้ ซึ่งวันนี้จะกลับเอามาใหม่ก็ต้องใช้เงินทุนที่จะเริ่มต้นใหม่ก็เป็นเรื่องสำคัญแต่อย่าห่วงเพราะรัฐบาล ติดตามอย่างใกล้ชิดต้องพยายามสาวถึงรายใหญ่ให้ได้

ส่วนที่มีการย้าย พ.ต.ต. สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไป ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการทำงานไม่ตรงเป้าหรือทำงานแล้วไปเจอตอใหญ่ ซึ่งตนเองเชื่อว่าเรื่องไปเจอตอใหญ่ ข้าราชการทุกคนคงไม่มีใครกลัวทุกคนพยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ทำงานเพื่อประชาชนอย่างสุดความสามารถ การย้ายอธิบดีดีเอสไอนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเองคงไปเอาเนื้อคนไม่ถูกกับเนื้อเนื้องานมากกว่า ซึ่งก็ได้แถลงไปแล้ว ส่วนเรื่องไปเจอตอแล้วย้ายก็ขออย่าไปคิดอย่างนั้นไม่มีแน่นอนซึ่งตนเองไม่ยอมให้เกิดเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้อย่างแน่นอน

ส่วนการย้าย พ.ต.ต.สุริยา จะเกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าหากเรื่องการเมืองหมายถึงนายกรัฐมนตรีไปก้าวก่าย ซึ่งย้ำว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่หากบอกว่าการเมืองแล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปย้ายก็ใช่ ก็เป็นไปตามที พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง บอกย้ายไปทำเรื่องของนโยบาย ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรมแล้วหาคนที่เหมาะสมมาทำต่อ แต่การจะมาทำต่อเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันซึ่งตนเองกลับไปก็ต้องเรียกคุยว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว

ส่วนคนที่เหมาะสมที่จะมาทำงานในดีเอสไอนายกรัฐมนตรีจะต้องดูด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีบอกว่าตนเองไปก้าวก่ายไม่ได้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

“เราอย่าพูดเรื่องคนดีกว่ามาพูดเรื่องความ ความคือเรื่องของผลงานคือผลสำเร็จของของเรื่องที่จะต้องจัดการ ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องหมูเถื่อน อย่างเดียวเพราะเดี๋ยวนี้มี เนื้อเถื่อนเข้ามาแล้ว แพะเถื่อนก็เข้ามาแล้ว เรื่องของ more และสตาร์ ก็อีก เต็มไปหมด เป็นคดีที่ต้องสะสางไป ดังนั้นความมั่นใจของผู้ประกอบการและนักลงทุนที่มาจากตลาดหลักทรัพย์ก็อาจจะมีปัญหา”


'เศรษฐา' รับกดดันทุกวัน คนทวงเงินหมื่น

เศรษฐา กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต หลังมีชาวเชียงใหม่และทุกจังหวัดทวงถามเป็นความกดดันหรือไม่ ว่า ทุกวันทุกเรื่องเป็นเรื่องที่กดดันเป็นเรื่องที่อยากให้พี่น้องประชาชนได้จริง ก็มารับฟังทุกคนก็เห็นว่าคนต้องการ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนอยากได้จริงๆ

โดยยังไม่ได้สอบถามความคืบหน้าโดยช่วงบ่ายวันนี้จะโทรศัพท์หา จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังถึงเรื่องนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ และยังคงเดินหน้าตามไทม์ไลน์เดิม 

เมื่อถามว่าหากคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความออกมาในเชิงลบ จะมีการปรับแผนลดขนาด โดยไม่ต้องกู้ได้หรือไม่ เศรษฐา กล่าวว่า เดี๋ยวคงมีการพูดคุยกัน ซึ่งตอนนี้มุ่งมั่นจะทำเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลจะได้หรือไม่ได้อย่างไรต้องมีคำตอบให้ประชาชน


เล็งลงพื้นที่ซ้ำแก้ PM2.5 ปลาย ม.ค.-ก.พ.

เศรษฐา ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการลงพื้นที่ต่างจังหวัดติดต่อเป็นจำนวนหลายวันได้ทราบถึงปัญหาต่างๆอย่างไรบ้าง ว่า เราลงพื้นที่ก็อยากจะมารับฟังปัญหา เพื่อที่จะหาทางแก้ไข อย่างเมื่อวานได้ฟังปัญหาเรื่องของฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมาจากการเผาป่า ซึ่งมาจากการเผาป่า ปัญหาใหญ่ทุกปัญหาก็เกิดมาจากการที่เศรษฐกิจไม่ดี ทำให้เกษตรกรที่มีตอข้าวและสั่งข้าวโพดก็ต้องเผาว่าเป็นวิธีที่จะกำจัดได้เร็วที่สุด และทำให้ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในเรื่องของ PM 2.5 

แต่ปีนี้รัฐบาลจะมีการผลักดันพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเข้าสู่สภา และเมื่อวานนี้ก็ต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ท่านรองนายก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ได้มาพบปะพูดคุยกับภาคเอกชน และทุกภาคส่วน พร้อมในการที่จะทำให้ปัญหา PM 2.5 ลดลงอย่างมีนัย

และเมื่อเช้าก็ได้เจอกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รายการคุยกันว่าเราจะต้องทำอะไรกันบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อกลับไป โดยเฉพาะฝ่ายทหารที่น่าจะมีส่วนช่วยได้อย่างสูงสุด และคาดว่าน่าจะเป็นปลายเดือนมกราคม เข้าสู่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่จะเข้าสู่ช่วงวิกฤตจริงๆ ก็จะมาลงพื้นที่อีกทีนึง เมื่อวานนี้ เป็นการคุยกันในเรื่องทฤษฎี แต่ว่าในเมื่อการลงมาจริงๆก็คงจะได้ดูปัญหาในการรับพื้นที่อีกครั้ง ปัญหานี้ต้องหมดไปเพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ก็คืออากาศสะอาด ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ 

เมื่อถามถึงแนวทางที่จะรับซื้อตอข้าวโพด จะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา เพราะเราก็ต้องไปคุยกับหน่วยงานที่จะต้องมารับซื้อตรงนี้ด้วย ยืนยันพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะลดให้ได้ครึ่งนึงก่อน 

ส่วนต้นตอที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือต้นอ้อย ที่มีการพูดกันมานานแล้วถึงการเผา ซึ่งโรงงานก็มักจะอ้างว่าไม่ได้เผา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มันมีเกิดขึ้นจริงๆ ก็ต้องให้หน่วยงานลงพื้นที่มากยิ่งขึ้น โดยต้องพึ่งหน่วยงานความมั่นคงจาก กอ.รมน. ซึ่งก็จะกลับไปพูดคุยกันอีกทีนึงเพราะต้องพยายามอย่างเต็มที่ ตนเองก็จะลงพื้นที่ด้วยตัวเองอีกทีด้วย และก็จะมีการพูดคุยกับทางโรงงานน้ำตาลอีกทีด้วยเช่นกัน