วันที่ 14 ต.ค. 2565 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงปาฐกถางาน '14 ตุลา 16 ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์สังคมไทยแค่ไหน' โดย พริษฐ์เริ่มต้นปาฐกถาด้วยการอธิบายว่า โจทย์ของการพูดถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วกว่า 49 ปี และตนเองไม่ได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์
แต่ด้วยความที่ 14 ตุลา เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่ถูกตีความอย่างหลากหลายโดยคนแต่ละกลุ่ม ตนจึงตั้งใจที่จะพยายามสรุป และอธิบายเหตุการณ์ผ่านมุมมองของคนแต่ละยุค ทั้งมุมมองที่มองว่า 14 ตุลาเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และมุมมองที่อาจมองว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาเป็นชัยชนะที่ลวงตาและไม่สามารถนำไปสู่ประชาธิปไตยได้อย่างยั่งยืน
พริษฐ์ กล่าวต่อว่า 14 ตุลา อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่สามารถกำจัดระบบทรราชอย่าง 'ถนอม-ประภาส-ณรงค์' ออกไปจากระบบการเมืองไทยได้ก็จริง แต่ 3 ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา กลับเกิดเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง 6 ตุลา 2519 โดยเหตุการณ์นี้พริษฐ์อธิบายว่า "เป็นเสมือนการล้างไพ่ประชาธิปไตยไทย ให้ถอยกลับไปอยู่จุดเดิม หรือแย่กว่าเดิม" พริษฐ์ยังอธิบายต่อไปอีกว่า คนรุ่นใหม่ในเหตุการณ์ 14 ตุลา กับคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน เติบโตมาในโลกที่มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน
พริษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่คนรุ่นใหม่ในแต่ละยุคต้องพบเจอเหมือนกัน คือการเติบโตมาในยุคที่การเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น คนรุ่นใหม่ในยุค 14 ตุลาเป็นยุคที่เติบโตมากับระบบเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานและมีผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จตามมาตรา 17 ขณะที่คนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันเติบโตมาในยุคที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสกับประชาธิปไตยอย่างเต็มใบและต้องอาศัยอยู่ภายใต้ 'ระบอบประยุทธ์' ซึ่งเป็นเสมือนเผด็จการอำพรางที่ชุบตัวจากการเลือกตั้ง แต่ยังคงมีกลไกควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จผ่านกลไกสืบทอดอำนาจ ส.ว. 250 คนศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระรวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
แต่ตัวอย่างหนึ่งที่มีความแตกต่าง คือในมิติเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลต่อความยาก-ง่ายในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร คนรุ่นใหม่ยุค 14 ตุลามีทางเลือกในการติดตามข่าวสารอย่างจำกัดเพราะเทคโนโลยีขนาดนั้นมีเพียงวิทยุหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เท่านั้นซึ่งก็ไม่ได้มีอุปกรณ์เหล่านี้ครบทุกบ้าน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ถูกควบคุมและกำกับโดยรัฐในทางกลับกันคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันกลับมีช่องทางในการติดตามข่าวสารมากมายนับไม่ถ้วนเพราะการเติบโตของอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียรัฐไม่อาจควบคุมและจำกัดข้อมูลเนื้อหาได้ดังเช่นในอดีต
พริษฐ์ เสริมต่อว่า ความแตกต่างระหว่างรุ่นเป็นเรื่องปกติ แต่จากโจทย์ปัจจุบันที่เป็นช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของประชาธิปไตยไทยและที่มีการปะทะกันระหว่างระบบที่ล้าหลังและสังคมที่ก้าวหน้ามากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าหมายและความตั้งใจของคนยุค 14 ตุลา มีภารกิจหลายส่วน ที่สอดคล้องกับความฝันของคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบัน แต่ยังไม่สำเร็จถึงฝั่งและยังต้องอาศัยพลังและเจตจำนงของคนทั้ง 2 รุ่น ในการร่วมกันขับเคลื่อนต่อไป
เป้าหมายที่หนึ่งคือ 'การร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย' แม้เหตุการณ์ 14 ตุลาได้นำมาสู่รัฐธรรมนูญปี 2517 แต่กระบวนการจัดทำยังคงไม่ได้มีส่วนร่วมของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเป็นฉบับที่มีอายุเพียง 2 ปี ก่อนถูกฉีกโดยคณะรัฐประหาร ปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้ธรรมนูญปี 2560 ซึ่งถูกเขียนโดยคณะรัฐประหาร มีวัตถุประสงค์ในการสืบทอดอำนาจ และมีเนื้อหาที่ขัดกับหลักสากล จึงต้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยประชาชน ผ่าน สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
เป้าหมายที่สองคือ 'การขับเคลื่อนประชาธิปไตยในเชิงวัฒนธรรม' ที่ไปไกลกว่าการกำจัดผู้นำเผด็จการ แม้ 14 ตุลาจะเป็นหมุดหมายสำคัญทางการเมืองไทยที่ภาคประชาชนรวมกันแสดงตัวเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล แต่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ทำให้เห็นว่าการตื่นตัวของประชาชนไม่สามารถนำไปสู่ชัยชนะที่ยังยืนของประชาธิปไตยเสมอไป
ตราบใดที่เรายังไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แข็งแรงให้เกิดขึ้นในระดับความคิด และกำจัดวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยมในทุกอณูของสังคม ตั้งแต่ระบบราชการ ยันระบบการศึกษา เพื่อสร้างโครงสร้างและวัฒนธรรม ที่อยู่บนฐานของการไว้วางใจประชาชน
เป้าหมายที่สามคือ 'การปฏิรูปกองทัพให้เป็นของประชาชน' ในการเคลื่อนไหวเมื่อ 49 ปีที่แล้ว ประชาชนมีความต้องการนำเผด็จการทหารออกจากการเมืองแต่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ประเทศยังไม่ได้หลุดพ้นจากระบบการเมืองที่กองทัพเข้ามาแทรกแซงจนถึงยุคปัจจุบัน การปฏิรูปกองทัพให้อยู่ภายใต้รัฐบาลพลจึงเป็นวาระเร่งด่วน
การทำให้กองทัพแยกขาดจากการเมืองโดยการกำหนดไม่ให้นายพลเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีจนกว่าจะเกษียณไปแล้วหลายปี การลดบทบาทและอำนาจของสภากลาโหม การทำให้กองทัพโปร่งใสลถูกตรวจสอบได้โดยประชาชน และการสร้างกองทัพที่เท่าทันกับโลก โดยไม่มีสิทธิพิเศษเหนือพลเรือน
เป้าหมายที่สี่ คือ "การทลายระบอบอุปถัมภ์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ' ที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ในช่วงก่อน 14 ตุลา ที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้กำมือของเครือข่ายสามทหาร และยังคงเป็นปัญหามาถึงยุคนี้ที่เต็มไปด้วยการบริหารราชการแบบรวมศูนย์ และการขยายตัวของกลุ่มทุนผูกขาด การวางโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มุ่งให้เกิดการแข่งขันโดยปราศจากระบบอุปถัมภ์ และการวางโครงสร้างทางการเมืองที่มุ่งกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จึงเป็นภารกิจที่ยังไม่เสร็จและต้องสานต่อในยุคปัจจุบัน
พร้อมกันนี้ พริษฐ์ ยังได้สรุปว่า ภารกิจทั้ง 4 ภารกิจนี้เป็นภารกิจสำคัญที่คนสองรุ่นมีร่วมกัน และเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยพลังของทุกรุ่นในการขับเคลื่อนให้สำเร็จ
"แต่นอกจากการสานต่อภารกิจที่มีร่วมกัน เรายังจำเป็นต้องทำให้ประเทศไทยคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกของคนทุกรุ่น เพื่อเป็นสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกชุดความคิดที่แตกต่างกัน และโอบรับทุกความฝันที่หลากหลาย ซึ่งจะเป็นหนทางเดียวในการปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์สังคมไทยได้อย่างแท้จริง" พริษฐ์ กล่าว