วันที่ 12 พ.ย.สามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้านโยบายการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งได้มีการออกเงื่อนไขสำหรับผู้ที่มีสิทธิ์ในโครงการว่า ต้องมีเงินในบัญชีรวมแล้วไม่เกิน 5 แสนบาท หรือมีรายได้เดือนละไม่เกิน 7 หมื่นบาท โดยใช้งบประมาณจากเงินกู้ 5 แสนล้านบาทนั้น
โดย สามารถ มองว่า รัฐบาลเคยยืนยันและรับปากไว้ว่าจะแจกทุกคนโดยไม่มีการกู้ยืมเงิน แต่วันนี้เกิดกลับลำจะแจกเงินโดยมีเงื่อนไข และใช้เงินกู้มาเป็นงบประมาณสำหรับโครงการนี้ ส่วนตัวจึงคิดว่าการแจกเงินดิจิทัลเป็นหมัน ไม่ได้แจ้งเกิดอย่างแน่นอน
สามารถ ยังมั่นใจด้วยว่า จะมีการทุจริตเกิดขึ้น ทั้งกรณีเงินทอนในโครงการ ถ้ามีเงินค่าธรรมเนียมเข้าออกรวมแล้ว 6% หรือไม่ เช่นเดียวกับเงื่อนไขของร้านค้าที่ต้องมีสายป่านยาวถึง 6 เดือน ถึงจะแลกเงินดิจิทัลเป็นเงินสดได้ ซึ่งจะทำให้มีเพียงร้านสะดวกซื้อ และร้านโมเดิลเทรด ที่ขึ้นทะเบียนภาษีเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ผลประโยชน์จะไปอยู่ที่เจ้าของธุรกิจไม่กี่ตระกูล แล้วเม็ดเงินจะไม่ตกไปสู่ชุมชนอย่างที่คาดหวังไว้
“เราได้เงินหนึ่งหมื่นบาท แต่เป็นหนี้ 5 แสนล้าน ผมเชื่อว่า คนไทยไม่เห็นด้วย เงินใครก็อยากได้ แต่ถ้าได้มาแล้วเป็นหนี้ ผมมั่นใจไม่มีใครเอาเงินที่คุณเศรษฐาเอามาแจกนั้นเป็นเงินของคนทุกคนในประเทศมาแจกเรา ซึ่งก่อนหน้านี้ใน ปี 56 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยออก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านมาแล้ว ซึ่งในเวลานั้นศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำสั่งบอกทำไม่ได้ ทั้งที่ตอนนั้นกู้มาเพื่อทำโครงการรถไฟรางคู่ แต่ในตอนนี้จะกู้มาเพื่อแจก ประชนชน บางกลุ่มทั้งที่ วันนี้ไม่รู้เงินทอนจะตกไปที่ใคร หากเป็นเงินดิจิทัลมีค่าธรรมเนียมในการแลกหรือไม่ สมมุติสำหรับเงินแลกเข้า 3% ออกสัก 3 % รวม 6 % จาก 5 แสนล้านบาท คือ 3 หมื่นล้าน ใครได้ประโยชน์” สามารถ กล่าว
ส่วนสำหรับร้านค้าต้องมีสายป่านเกิน 6 เดือนรับเงินดิจิทัล และต้องรออีก6 เดือนถึงจะไปแลกเป็นเงินกลับมา ส่วนคนจะแลกได้ต้องขึ้นทะเบียนภาษี จะมีสักกี่ร้าน ในอำเภอเดียวกัน ของจังหวัดที่ลงทะเบียนในบัตร ปชช. หนีไม่พ้น ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ หนีไม่พ้นโมเดิลเทรด ซึ่งมีไม่มีกี่ตระกูล ผมว่าเรื่องนี้มีการถอนเงินกันหรือไม่? ปชช.ได้ประโยชน์เหรอ? เพราะภาษีไม่ได้หมุนหลายรอบ มันหมุนแค่รอบเดียว เพราะเข้าร้านใหญ่ มันไปเข้าเจ้าสัว เม็ดเงินไม่ได้เข้าชุมชนนั้นเลย
สามารถ มั่นใจด้วยว่า ขนาด พรบ. เงินกู้ 2 ล้านล้านเพื่อทำประโยชน์สาธารณะ ยังไม่สามารถทำได้เพราะผิดกฎหมายหลายฉบับ โครงการเงินดิจิทัลนี้ก็เช่นเดียวกัน พร้อมกับแนะวิธีแก้ปัญหาด้วยการให้จับตาวันที่ 15 พ.ย. ที่กำลังจะถึงนี้ ว่าจะมีการยุบพรรคก้าวไกลในข้อหาใช้ ม. 112 ในการหาเสียงหรือไม่ เพราะหากมีการยุบพรรคก้าวไกลจริง ก็สามารถเกิดการยุบพรรคเพื่อไทยได้เช่นกัน ดังนั้น นายสามารถ จึงมองว่า ให้จับตาการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 15 พ.ย. ว่าจะเป็นลมอาคเนย์ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองจริงหรือไม่ ??
“วันนี้จะเห็นได้ว่าสังคมกดดันทุกด้าน สมัยโบราณเรียกว่าจัดทัพเรียบร้อยแล้ว รอแค่ลมอาคเนย์อย่างเดียว ถ้ายุบพรรคก้าวไกลในข้อหา ม.112 นี่คือ ลมอาคาเนย์ ที่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้ว พรรคก้าวไกล 151 เสียง สามารถเดินไปจับมือกับพรรคการเมืองอื่นได้ ส่วนพรรคเพื่อไทย โดยคุณเศรษฐา เคยบอกจะแก้มาตรา112 เช่นเดียวกัน มันก็ไม่แตกต่างกับพรรคก้าวไกล ถ้ายุบพรรคก้าวไกลได้ ก็จะมีการยื่นยุบพรรคเพื่อไทยได้ด้วยเช่นกัน ถ้ายุบพรรคเพื่อไทย นโยบายเงินดิจิทัล ก็ไม่เกิด แล้วเป็นหมัน การเมืองก็เป็นการเปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนนายกฯ สมใจประชาชน ดั่งคำว่า เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน น่าจะเห็นชัดขึ้นหลังเกิดลมอาคเนย์” สามารถ กล่าว