กลุ่มแคร์ คิด เคลื่อน ไทย ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ประเทศไทยปราศจากผู้ติดเชื้อโรค COVID-19 ในประเทศมา 34 วันแล้ว แต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจยังคงเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เพราะธุรกิจต่างๆ ยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ปกติเหมือนเดิม ต้องเผชิญกับภาวะที่ยอดขายลดลงอย่างมาก หรือยังไม่มีรายได้เลย ในขณะที่ต้นทุนการดำเนินกิจการเพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขระยะห่างทางสังคม (Social distancing) และมาตรการป้องกันอื่นๆ ที่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาใหม่
มาตรการเยียวยาของภาครัฐมีข้อจำกัดทั้งในเชิงของความทั่วถึง และระยะเวลาที่สั้นอย่างมาก เช่น การเยียวยาผู้ว่างงาน 15 ล้านคน และเกษตรกร 10 ล้านคน ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อเดือนเพียง 3 เดือน ในขณะที่ประเมินกันว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกให้กลับมาสู่สภาวะปกตินั้นต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 ปี
และที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ ผู้ได้รับผลกระทบมีจำนวนมาก เห็นได้จากลูกหนี้สถาบันการเงินที่ขอความช่วยเหลือจากมาตรการผ่อนปรนการจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นซึ่งมีมากถึง 16.3 ล้านรายโดยมีมูลหนี้สูงถึง 6.84 ล้านล้านบาท หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของสินเชื่อทั้งหมดในระบบ ในส่วนนี้มีธุรกิจที่ขอผ่อนปรนหนี้มากถึง 1.148 ล้านรายโดยมีมูลหนี้ทั้งสิ้นประมาณ 2.98 ล้านล้านบาทและมีหนี้บุคคลอีก 15.22 ล้านคน มูลหนี้ 3.87 ล้านล้านบาท
หนี้ 6.84 ล้านล้านบาทดังกล่าว ได้รับการผ่อนปรนเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน เริ่มต้นจากเดือนเมษายน 2563 และแม้ว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 (ประมาณ 15.2 ล้านคน) โดยให้สถาบันการเงินมีมาตรการผ่อนปรนต่อไปถึง 31 ธันวาคม 2563 แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเพราะ SME กว่า 1 ล้านรายที่เป็นผู้จ้างงานและผลิตสินค้าและบริการก็ยังอยู่ในภาวะที่คับขันมากขึ้นทุกวัน
แคร์เห็นว่า ประชาชนกว่าสิบล้านคนและธุรกิจกว่าล้านรายคาดหวังว่า เขาจะสามารถกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมภายในเร็ววัน และธุรกิจนับล้านรายเหล่านั้นหวังว่า จะสามารถสร้างยอดขายได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19 โดยเร็วเพราะ "สายป่าน" ที่สะสมเอาไว้ได้ใช้ไปจนหมดแล้ว แต่อนาคตกลับยังดูมืดมนอย่างยิ่งเพราะการเปิดเศรษฐกิจกระทำอย่างกระท่อนกระแท่น ประชาชนไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตตามปกติ แม้แต่การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ซึ่งหมายถึงประเทศตกอยู่ในภาวะคับขัน การรบหรือการสงคราม) ก็ยังคงอยู่
และที่สำคัญคือการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ก็ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเริ่มต้นเมื่อใด หากมองในทิศทางบวกมากที่สุดตามที่รัฐบาลเคยแถลงไว้ว่า รัฐบาลจะอนุญาตให้นักธุรกิจจากต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 1,000 คนต่อวัน ซึ่งหากเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ก็หมายความว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยไม่ถึง 100,000 คน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับภาวะปกติที่ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยถึง 10 ล้านคน เราจะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 170,000 ล้านบาทต่อเดือน
ภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าว จึงมีการคาดการณ์โดยภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องว่า คนไทยอาจตกงานได้มากถึง 5-7 ล้านคน นอกจากนั้นนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาจะว่างงานอีก 400,000 คน มีข่าวต่อเนื่องว่า บางธุรกิจปิดโรงงานและย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย และบางธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์จะปลดคนงานเพราะยอดขายรถยนต์ตกต่ำ อีกทั้งต้องปรับตัวกับแนวโน้มใหม่ของอุตสาหกรรมที่หันมาผลิตรถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้เร่งทดแทนแรงงานคนโดยการใช้หุ่นยนต์ ซึ่งทำให้พนักงานโดยเฉพาะวัยกลางคนเสี่ยงตกงานอีกนับหมื่นคน
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นั้นมีคนไทยตกงานประมาณ 1.4 ล้านคน ดังนั้นมหาวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้จึงมีแนวโน้มรุนแรงมากกว่า 4 เท่าตัว ในปี 2540 เราเห็นการล่มสลายของสถาบันการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ความรุนแรงอยู่ในวงจำกัดและกระทบคนรวยเป็นส่วนสำคัญ จึงมีวลี "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" แต่ครั้งนี้ชนชั้นกลางและคนยากจนหลายสิบล้านคนตลอดจนธุรกิจ SME เป็นล้านรายมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องล้มละลายเพราะจ่ายหนี้สินคืนธนาคารไม่ได้
ความเดือดร้อนของประชาชนและธุรกิจจะปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวางตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้
มาตรการของรัฐไม่เพียงพอและขาดเอกภาพ
1. มาตรการเยียวยาประชาชน 25 ล้านคนโดยจ่ายเงินชดเชยเดือนละ 5,000 บาทใกล้สิ้นสุดลงแล้ว โดยคนไทยกลุ่มนี้ยังไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่าอนาคตของตนจะเป็นอย่างไร
2. มาตรการสินเชื่อผ่อนปรนช่วยเหลือ SME ที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงิน วงเงิน 500,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีผู้ผ่านการกู้เพียง 82,701 ล้านบาทหรือเพียง 16.5 เปอร์เซ็นต์ของวงเงิน โดยมี SME ที่ได้รับการช่วยเหลือเพียง 51,991 รายจากจำนวน SME ซึ่งเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่มีปัญหากว่า 1.1 ล้านราย นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจ หรือ SME ซึ่งไม่ได้เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบแต่ไม่สามารถขอรับความช่วยเหลืออีกจำนวนมาก
3. โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาทของรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติ โดยมีการเสนอโครงการมากถึง 46,411 โครงการมูลค่า 1.448 ล้านล้านบาท แต่โครงการที่เสนอเข้ามานั้นไม่มีความชัดเจนว่า จะสามารถนำพาประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศไปในทิศทางที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีและเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว เพราะเป็นโครงการที่ไม่มียุทธศาสตร์และขาดเอกภาพทางความคิด เนื่องจากเป็นการนำเสนอโครงการจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐด้วยความเร่งรีบ ดังนั้นจึงกล่าวกันว่า จะเป็นมาตรการที่ไร้พลัง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และเป็นการ "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ"
รัฐมีหน้าที่ช่วยให้ประชาชนและธุรกิจก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจหลัง COVID-19
แคร์ยืนยันแน่วแน่ว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องช่วยให้ประชาชนและธุรกิจสามารถก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจหลัง COVID-19 ไปให้ได้โดยไม่ทอดทิ้งใคร เปรียบเสมือนกับการสร้างสะพานเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถก้าวข้ามทั้งเหวสุขภาพที่เพิ่งผ่านพ้นมา และเหวเศรษฐกิจที่อันตรายกว่ามาก
แนวทางหลักคือ การสนับสนุนจากภาครัฐที่ต้องให้เวลาอย่างเพียงพอกับประชาชนและธุรกิจประมาณ 4 ปี เพื่อฟื้นฟูและปรับตัวเพื่อเข้าสู่ภาวะ New Normal หลังจากวิกฤต COVID-19 ผ่านพ้นไปแล้ว และพลิกสถานการณ์จากปัจจุบันที่ประชาชนกำลังไร้ความหวังและเศรษฐกิจไทยกำลังรอวันตาย
ข้อเสนอของแคร์
แคร์ ขอเสนอให้รัฐบาลสนับสนุน "สินเชื่อผ่อนปรนวงเงิน 2 ล้านล้านบาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ปลอดการชำระเงินต้นเป็นเวลา 4 ปี" (โดยธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยกู้ผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี) และรัฐบาลรับความเสี่ยงของความเสียหายจากการปล่อยกู้ดังกล่าวเกือบทั้งหมด (ซึ่งแตกต่างจากสินเชื่อ 500,000 ล้านบาทในปัจจุบันที่เมื่อประเมินในรายละเอียดแล้ว รัฐบาลจะรับใช้ความเสียหายให้เพียงประมาณร้อยละ 30) โดยขยายขอบเขตให้ SME ที่ไม่ใช่ลูกหนี้สถาบันการเงินได้รับการสนับสนุนสินเชื่อดังกล่าวด้วย
หากมีความเสียหายจากการปล่อยกู้ รัฐบาลสามารถออกเป็นพันธบัตรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยซื้อที่ดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลาใช้คืน 100 ปี เพื่อชดใช้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากหนี้เสียให้กับสถาบันการเงินในอนาคต
มาตรการ "อัดฉีด SME 2 ล้านล้าน ลดดอกปลอดต้น 4 ปี" จะช่วยให้ SME นับล้านรายสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจและยังจ้างพนักงานกว่า 10 ล้านคนต่อไปได้ ช่วยให้ประชาชนกว่า 10 ล้านคนไม่ต้องพักชำระหนี้ และเปิดโอกาสให้ SME มีเวลาเพียงพอที่จะวางแผนปรับตัว ปรับต้นทุน เพิ่มการลงทุน หรือแม้กระทั่งปรับเปลี่ยนธุรกิจไปทำธุรกิจประเภทอื่นๆ ก็ได้
วิกฤตสุขภาพและวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นวิกฤตทั่วโลก ทำให้กำลังซื้อทั้งในประเทศและจากต่างประเทศถดถอยลงอย่างมาก (ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการมากถึงร้อยละ 68 ของ จีดีพี) ดังนั้น เมื่อเทียบกับภาวะปกติที่มี NPL ประมาณร้อยละ 3-4 จึงมีความเป็นไปได้ว่า NPL จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่การให้เวลาที่เพียงพอกับธุรกิจในการปรับตัวและหลีกเลี่ยงการปลดพนักงาน และการรอให้สถานการณ์ทั่วโลกคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี เช่น การค้นพบวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ย่อมจะช่วยลดความเสียหายดังกล่าว ต่างจากการดำเนินนโยบายแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” ในปัจจุบัน ซึ่งจะไม่สามารถยับยั้งความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันได้เลย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :