นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมวงเสวนา “ปฏิสังขรณ์ประเทศไทย” ซึ่งจัดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยถึงประสบการณ์หาเสียงเจอแต่คนบ่นปัญหาปากท้อง สวนทางงบประมาณปี 2563 ไม่ตอบโจทย์ โดยในรอบ 7 วันที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ตนหดหู่มาก ตนได้รับมอบหมายจากพรรคให้ทำหน้าที่ในเรื่องการช่วยผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครปฐม กับการคุมทีมอภิปราย พ.ร.บ.รายจ่ายงบประมาณประจำปี 2563 สิ่งที่ได้ฟังจากชาวบ้านมันเจ็บปวดมาก ทุกคนต่างมาระบายให้ตนได้ฟังถึงปัญหาเศรษฐกิจ หลายคนสิ้นหวัง บางคนไม่มีงานทำ ค้าขายในตลาดยอดลดลง คนทำงานโรงงานไม่มีโอที และเมื่อตนได้กลับจากหาเสียงมาเจอกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ตนก็ยิ่งหดหู่เข้าไปใหญ่
นายธนาธร ระบุว่า งบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาทจะทำให้ชีวิตของคนที่ตนไปเจอมาดีขึ้นได้อย่างไร ข้อสรุปที่เรามีก็คือใช้งบประมาณแบบนี้ทำให้ชีวิตคนส่วนใหญ่ดีขึ้นไม่ได้เลย มันเจ็บปวดและเราเจ็บใจ เรามีงบประมาณเพียงพอ แต่งบประมาณไม่ตอบสนองชีวิตและความต้องการของชีวิตประชาชน เราเห็นเลยว่าเรามีเงินพอที่จะเลี้ยงดูผู้ป่วย ที่จะทำให้การศึกษาของเด็กและเยาวชนดีกว่านี้ ทำให้ปัญหาท้องถิ่น การจัดการน้ำ ที่ดิน ฝุ่น PM2.5 ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนฯลฯ ดีกว่านี้ แต่เราไม่เห็นการจัดการงบประมาณเหล่านี้
“นี่เป็นเรื่องการเมืองและเรื่องรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องของอำนาจ หลังการเลือกตั้งองค์กรที่ชื่อ คสช.หายไปแล้วก็จริง แต่ระบอบ คสช.ยังอยู่กับเราในรูปแบบรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มาของอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำ คือกลุ่มทุน ระบบราชการ รถถัง ปืน กองทัพ กฎหมาย ตุลาการ แสดงออกผ่าน ส.ว.250 คน ไม่ได้มาจากประชาชน ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณของเขาจึงไม่ต้องเอาไปจัดสรรเพื่อประชาชน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกล้าถวายสัตย์เช่นนั้น เพราะเขาไม่แคร์ประชาชน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกล้าตั้งรัฐมนตรีที่มีข้อครหาเรื่องยาเสพติด เพราะเขาไม่ต้องแคร์ประชาชน ประชาชนไม่ได้อยู่ในสมการของเขา” นายธนาธรกล่าว
นายธนาธรกล่าวต่อว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา การใช้งบประมาณเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบราชการที่ใหญ่เทอะทะ เต็มไปด้วยงบดำเนินการ ค่าสัมมนา ค่าเบี้ยเลี้ยง เบี้ยประชุม ค่าที่พัก ฯลฯ จากการทำการบ้านเรื่องงบประมาณที่ผ่านมา เราเห็นงบแบบนี้เยอะไปหมด ถูกเอาไปหล่อเลี้ยงกองทัพ ไปเอื้อกลุ่มทุน นี่คือสิ่งที่เราเห้นแล้วเรารู้สึกเจ็บปวด ชีวิตของประชาชนมันยากเย็นและต้องต่อสู้ดิ้นรน แต่เราไม่มีอำนาจที่จะไปช่วยเหลือเขาได้เลย
ทั้งที่เรารู้ว่าประเทศไทยมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้นได้มากกว่านี้ งบประมาณประเทศ 3.2 ล้านล้านบาท มีหน้าที่ตอบโจทย์ปัญหาของประเทศที่ผ่านมา และพาประเทศก้าวไปข้างหน้า แต่ด้วยงบประมาณแบนี้ตนว่าล้มเหลวทั้งสองด้าน แต่พวกเขาไม่แคร์ เพราะพวกเขาไม่ได้มาจากประชาชน นี่คือกลไกที่วางเอาไว้หมดแล้ว นี่คือความเจ็บปวด เมื่อเราเห็นความเป็นจริงกับงบประมาณปี 2563
โดยช่องว่างระหว่างความเป็นจริงกับงบประมาณปี 2563 คือความอ่อนแอของประชาธิปไตย ดังนั้นเวลาเราพูดถึงประชาชนมันมีความหมาย ความแข็งแกร่งของประชาชนและประชาธิปไตยต้องดูว่าความต้องการของประชาชนมันได้รับการตอบสนองหรือไม่ เราจะปฏิสังขรณ์และพาประเทศไทยไปข้างหน้าอย่างไร แน่นอนที่สุดรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องได้รับการแก้ไข แต่จะพาไปข้างหน้ามากกว่านี้ต้องจัดการสิ่งที่ตนเรียกว่า “3D” คือ Demilitarization - ลดบทบาทกองทัพทางการเมือง, Decentralization - ลดอำนาจระบบราชการรวมศูนย์ที่ส่วนกลาง, และ Democratization - พาประเทศไทยกลับสู่การเป็นประชาธิปไตยอีกครั้ง
ถ้าไม่จัดการ 3D นี้ประเทศไทยไปต่อไม่ได้ จะทำสามอย่างนี้ได้ต้องเริ่มต้นที่รัฐธรรมนูญ และต่อให้ทำ 3D นี้สำเร็จ นี่ก็จะยังไม่ใช่จุดจบของการเดินทาง ถ้าแก้รัฐธรรมนูญได้แต่ลดบทบาทกองทัพไม่ได้ก็กลับไปเท่าเดิม อย่างคนที่ต่อสู้ในพฤษภาคมปี 2535 มา ลืมทำในสิ่งหนึ่งไปคือการปฏิรูปกองทัพ สุดท้ายก็เกิดรัฐประหารปี 2549 ถ้าไม่ลดบทบาทของกองทัพการรัฐประหารก็จะกลับมา
“ดังนั้นผมฝากไว้ ประเทศเราไม่มีทางไปต่อข้างหน้าได้เลย ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่เขายังเอาระบอบ คสช.ไว้อยู่ และอย่าฝากความหวังไว้กับคน แต่จงลุกชึ้นมาทำและเปลี่ยนแปลงด้วยมือของเราเอง” นายธนาธรกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง