ไม่พบผลการค้นหา
ผู้ทรงอิทธิพลในวงการภาพยนตร์โลก ถูกตัดสินจำคุก 23 ปี ในข้อหาข่มขืนและคุกคามทางเพศ หลังมีคนในวงการบันเทิงออกมากล่าวหาว่าเคยถูกเขาล่วงละเมิดทางเพศ

ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน อดีตโปรดิวเซอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งหนึ่งในบริษัทภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในฮอลลีวูดวัย 67 ปี ถูกคณะลูกขุนของศาลมลรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ ตัดสินโทษจำคุก 23 ปี หลังจากที่ศาลได้ตัดสินไปเมื่อเดือน ก.พ.ว่าเขามีความผิดในข้อหาข่มขืน ระดับ 3 ต่อ เจสซิกา มานน์ อดีตนักแสดงสาว เมื่อปี 2556 และข้อหากระทำความผิดทางเพศระดับ 1 ต่อ มีมี ฮาลีย์ อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ เมื่อปี 2549

ไวน์สตีนได้ปรากฏตัวที่ศาลพร้อมวีลแชร์ และทนายความของเขาได้ยื่นอุทธรณ์ให้มีการผ่อนโทษลง โดยระบุว่า แม้แต่การลงโทษขั้นต่ำสุดจำคุก 5 ปีก็อาจเป็น “จำคุกตลอดชีวิต” ของไวน์สตีนแล้ว แต่อัยการโต้แย้งว่า ไวน์สตีนควรได้รับโทษสูงสุด เพื่อชดใช้ “การคุกคามตลอดชีวิต” ของเขา และไม่มีความสำนึกต่อการกระทำของตัวเอง โดยที่ผ่านมาไวน์สตีนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหามาโดยตลอด และทนายความของไวน์สตีนประกาศว่าจะอุทธรณ์คดี

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.เป็นครั้งแรกที่ไวน์สตีนได้กล่าวต่อศาลว่า รู้สึกเสียใจ แต่เขาและผู้ชายอีกหลายคนรู้สึก “สับสนมาก” กับกระแส #MeToo ที่มีผู้หญิงกว่า 80 คนออกมากล่าวหาว่าไวน์สตีนเคยคุกคามทางเพศพวกเธอเมื่อปี 2560 ก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องความเป็นธรรม จนกลายเป็นกระแสดังไปทั่วโลกและผลักดันให้ผู้หญิงในทุกสาขาอาชีพที่ทั้งเคยและไม่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองและสังคม

ฮาร์ลีย์ หนึ่งในโจทก์ผู้ฟ้องไวร์สตีนได้อ่านแถลงการณ์ว่า ไวน์สตีนไม่เพียงแต่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเป็นผู้หญิงของเธอ แต่ยังทำลายความมั่นใจและศรัทธาในตัวเองของเธอด้วย เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและต้องเผชิญกับบาดแผลทางจิตใจโดยไม่รู้ว่ามีผู้หญิงอีกหลายคนที่ต้องทุกข์ทรมานจากการคุกคามในลักษณะเดียวกัน แต่ขณะนี้เธอได้ค้นพบเสียงของตัวเองแล้ว ถึงเวลาที่ผู้คุกคามคนอื่น พรากชีวิตของผู้อื่นไป จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต

ไวน์สตีนคือผู้มีอิทธิพลในวงการภาพยนตร์โลก และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากมาย หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์เรื่อง The King's Speech ปี 2553 ที่สามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ไปได้ รวมถึงผลงานออสการ์อีกหลายเรื่องเช่น Pulp Fiction, Good Will Hunting, และ Shakespeare in Love


ที่มา : BBC, The Guardian