พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการด้านเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ โดยให้ลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ประกอบด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า จากการติดตามประเมินผลโครงการคนละครึ่ง ถือว่ายังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชน และทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ด้วยดี จึงจะเปิดให้ ลงทะเบียนรอบใหม่ อีกประมาณ 1 ล้านสิทธิ์ ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้
นอกจากนี้ยังมีนโยบายเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ให้ครอบคลุมเหมือนเช่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นแรงงานนอกระบบ อาชีพอิสระ เกษตรกร ซึ่งในเบื้องต้นได้ให้มีการพิจารณาการเยียวยาที่เหมาะสม จำนวน 3,500 บาท ต่อคนต่อเดือนเป็นระยะเวลาสองเดือน โดยให้กระทรวงการคลัง เร่งจัดทำรายละเอียด เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ดำเนินการ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของโควิด-19 ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นจึงขอ พิจารณาให้การช่วยเหลือในช่วงสองเดือนก่อน
สำหรับการช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปนั้น พบว่าสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่อง ในสถาบันการเงินของรัฐมีวงเงินเหลืออยู่ กว่า 2 แสนล้านบาท จึงให้กระทรวงการคลังประสานธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยเหลือทั้งด้านหนี้สินและสภาพคล่อง ให้กับผู้ประกอบการและประชาชนโดยเร็ว เช่น สินเชื่อธนาคารออมสิน 10,000-15,000 บาทต่อรายดอกเบี้ยต่ำ 0.1-0.35 ต่อเดือน ซึ่งจะมีการหารือกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้ขยายมาตรการ ลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในอัตราร้อยละ 90 ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์ เหลือร้อยละ 0.01 และได้ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย เร่งรัดการทำข้อกำหนดและประกาศที่เกี่ยวข้อง เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ส่วนการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้แรงงาน ในระบบประกันสังคม เช่น การลดหย่อนเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตน การเยียวยากรณีว่างงานให้ผู้ประกันตน สามารถเข้ารับการรักษา รวมถึงค่าใช้จ่ายโดยไม่ต้องสำรองเงินไปก่อนรวมถึงพิจารณามาตรการดูแลแรงงานนอกระบบประกันสังคมด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการการช่วยเหลือด้านการดำรงชีวิตของประชาชน ถึงจะไม่ใช่จำนวนที่มากมายนัก แต่ก็เชื่อว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ในระดับหนึ่ง จนกว่าสถานการณ์จะปรับดีขึ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการช่วยเหลือประชาชนอาจทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง แต่ก็ถือเป็นเรื่องความเดือดร้อนที่รัฐบาลต้องดูแล
ด้าน อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ข่าวการระบาดของยาเคนมผง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 13 ราย ซึ่งยาเสพติดชนิดนี้ประกอบไปด้วยยาเสพติดหลายประเภท หาซื้อง่ายขายคล่อง สะท้อนให้เห็นว่าแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาบริหารประเทศเข้าสู่ปีที่7 มีอำนาจมากล้น แต่ยาเสพติดยังทวีความรุนแรงมากขึ้น
วาระแห่งชาติในการปฏิรูปประเทศและปฏิรูปตำรวจเงียบหาย เข้าตำราหัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก เหมือนรัฐไทยไร้ตำรวจ นอกจากปัญหายาเสพติดแล้วยังไม่สามารถสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังบ่อนผิดกฎหมายในหลายพื้นที่ และใครคือตัวการที่ปล่อยให้มีการเดินทางข้ามพรมแดนมาอย่างผิดกฎหมายได้ สิ่งเหล่านี้ประชาชนล้วนสงสัยและต้องการให้รัฐสืบสาวไปถึงต้นตอตัวจริง
นอกจากนี้ในภาพรวมการแก้ปัญหาประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 และการออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างล่าช้าและอยู่ในกรอบมาตรการเดิมๆ อย่างโครงการเราชนะ แจกเงินเยียวยา 3,500 บาท ในระยะเวลา 2 เดือน เป็นเพียงการลอกการบ้านเก่า แถมน้อยกว่าเดิมเพิ่มเติมคือความจน ควรดำเนินการอย่างรวดเร็วกว่านี้
แต่ขณะนี้คนไทยมองไม่เห็นอนาคตผ่านวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศแต่อย่างใด เพราะเป็นผู้นำที่มาจากเผด็จการ ใช้ความกลัวเป็นเครื่องควบคุมคน การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 2 จึงดูน่ากลัว ตรงข้ามกับข้อมูลของการระบาดในครั้งนี้ แม้เชื้อโรคมีการแพร่ระบาดเร็ว แต่อัตราการตายต่ำเมื่อเทียบกับครั้งก่อน แต่รัฐกลับไม่พยายามสื่อสารให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องเหล่านี้
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ในช่วงของการระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศไทยควรปรับรื้อโครงสร้างการผลิตใหม่ โดยเน้นเพิ่มทักษะแรงงาน และการเรียนรู้เทคโนโลยี โดยเสนอให้รัฐใช้มาตรจูงใจลดภาษี(Tax) ให้กับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าปลอดเชื้อโรคโควิด-19 ผ่าน Product Coronavirus-Free
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการส่งออกได้ ภายใต้การทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางอาหารโลกที่มีมาตรฐาน ขณะเดียวกันการเยียวยาในภาพรวมจะต้องครอบคลุมไปถึงกลุ่มเปราะบาง ไม่ใช่สุ่มชิงโชคด้วยการลงทะเบียนรับสิทธิ์ เพราะคนที่ขาดการเข้าถึงเทคโนโลยียังมีอีกมากในประเทศไทย
“ความยุติธรรมในยามวิกฤติ คือ การเยียวยาคนที่อ่อนแอให้ได้รับสิทธิทุกคน ไม่ใช่ความยุติธรรมที่รัฐเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงสิทธิ เพราะผู้อ่อนแออาจเข้าไม่ถึงสิทธิ์นั้น เช่น คนแก่ คนตกงาน หรือผู้ที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี ซึ่งรัฐมีข้อมูลจำนวนคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว ต้องได้รับสิทธิ์การเยียวยา” อรุณีกล่าว
อ่านเพิ่มเติม