นายชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์ แคดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ เขต 30 บางพลัด-บางกอกน้อย เดินทางลงพื้นที่ตลาดบางขุนศรี ถนนจรัญสนิทวงศ์ เพื่อขอเสียงสนับสนุนให้ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค พร้อมเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยนายชัชชาติได้เยี่ยมเยียนผู้ประกอบการ SME ที่บริเวณถนนจรัญสนิทวงศ์ พร้อมทั้งดูปัญหาการคมนาคมและรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
นายชัชชาติ บอกว่า จากการลงพื้นที่ย่านนี้ เห็นว่าปัญหาจราจรเริ่มคลี่คลาย แต่เจ้าหน้าที่ต้องมาขันน็อตเร่งคืนพื้นที่ผิวจราจร และหลังก่อสร้างรถไฟฟ้าเสร็จควรจะเชื่อมโยงระบบขนส่งเส้นเลือดฝอยในการนำคนออกจากบ้านมาขึ้นรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องใช้รถยนต์ และต้องดูเรื่องการทำมาหากินเพราะจะมีประชาชนสัญจรไปมา และการค้าขายจะเปลี่ยนรูปแบบ ขณะที่ร้านค้าเก่าที่เป็นตึกแถวไกลจากรถไฟฟ้าจะค้าขายลำบาก ซึ่งต้องดูเรื่องของการให้ทุน
ขณะเดียวกันปฎิเสธตอบคำถามพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจไม่ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยพรรคพลังประชารัฐ เพราะสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายในการดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะไม่อยากไปก้าวล่วง ซึ่งการดีเบตอาจจะไม่สำคัญแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้พูดมาตลอด 5 ปี แต่ส่วนตัวต้องการให้นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เพื่อให้ประชาชนซักถาม พูดคุยสะท้อนปัญหาที่อยากให้แก้ไข เพราะหัวใจของนักการเมืองจะต้องเข้าใจและไปสัมผัสประชาชนจริงๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอาจจะมีข้อมูล แต่ไม่เท่ากับไปสัมผัสพื้นที่จริง ซึ่งบางครั้งการลงพื้นที่อาจจะโดนชาวบ้านด่าแบบตน แต่ก็ต้องลงไปสัมผัสเพื่อให้รู้ปัญหา
ขณะเดียวกันนายชัชชาติ ไม่เห็นด้วยที่ กกต.ไปดูงานต่างประเทศในช่วงใกล้เลือกตั้ง เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตัวเองให้สิ้นเปลืองงบประมาณ โดยสามารถที่จะสไกด์หรือตรวจสอบข้อมูลโดยไม่ต้องเดินทางไปเองก็ได้ แต่เมื่อต้องการไปเจอสภาพจริงแล้ว ก็ขอให้ใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ และถ้าเกิดปัญหาองค์ประชุม กกต.ไม่ครบในการพิจารณาเรื่องต่างๆเกรงจะไม่ทันการ
ส่วนการปราศรัยใหญ่พรรคเพื่อไทยที่ยังไม่ได้สถานที่ยืนยันสถานที่ไม่สำคัญ เพราะรูปแบบการหาเสียงเปลี่ยนไปแล้ว โดยสามารถปราศรัยในออนไลน์และเชื่อว่าเมื่อถึงวันพรรคจะจัดหาสถานที่ได้ แต่หากไม่ได้ขออย่าไปคิดมาก เพราะถ้าไม่ยุติธรรมประชาชนจะเห็นเอง
กกต. แจงกรณีเดินทางดูงานต่างประเทศ เพื่อดูแลความเรียบร้อยการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร
ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร สามารถมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ประกอบกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 109 กำหนดว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปอันมิใช่เป็นการเลือกตั้งใหม่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักรจะขอลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิเลือกตั้ง ณ ประเทศที่ตนมีถิ่นที่อยู่ก็ได้
ในการดำเนินการจัดการออกเสียงลงคะแนนนอกราชอาณาจักรนั้น กกต. ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานสนับสนุนในการบริหารจัดการพร้อมทั้งได้โอนงบประมาณที่ต้องใช้ในการดำเนินการทั้งหมดให้ และกำหนดให้เอกอัครราชทูตเป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงลงคะแนนในห้วงระหว่างวันที่ 4 – 16 มีนาคม 62 โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือเชิญ กกต. ไปตรวจติดตามภารกิจดังกล่าวในประเทศที่มีชุมชนคนไทยอยู่หนาแน่นและมีผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิมาก
ซึ่ง กกต. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นอำนาจของ กกต. ในการควบคุม ดูแลการดำเนินการของกระบวนการจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรทั้งหมด เพื่อให้ความมั่นใจว่า การดำเนินการจัดการเลือกตั้งในต่างประเทศจะเป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม โดยหาก กกต. แต่ละท่านหากพบเห็นการกระทำใดอันอาจเป็นเหตุให้การเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้อำนาจสั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการเลือกตั้ง หรือสั่งให้ดำเนินการเลือกตั้งใหม่
ตามมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการ การเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 อีกทั้งจะได้นำผลการตรวจติดตามภารกิจมาใช้เป็นประโยชน์ในการปรับปรุง ปัญหา อุปสรรค ของการจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรในอนาคตต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ในระหว่างเวลานับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใช้บังคับจนถึงวันประกาศผลการเลือกตั้งหากมีความจำ เป็นเร่งด่วนต้องมีการประชุม กกต. ให้มีอำนาจประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดย กกต. แต่ละคนอาจอยู่ ณ สถานที่แตกต่างกันได้ ซึ่งในห้วงการเดินทางที่ผ่านมา ยังไม่มีประเด็นเร่งด่วนที่ กกต. จะต้องมีการประชุมเพื่อพิจารณาวินิจฉัยแต่อย่างใด