ไม่พบผลการค้นหา
'ประยุทธ์' พร้อมคุยทุกฝ่าย แต่ขอร้องอย่ายกระดับกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ส่วนก่อการร้ายมาพูดคุย ย้ำฝ่ายรัฐต้องไม่เสียเปรียบ ยึด กม.ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ขออย่ากดดันรัฐบาลกำหนดพื้นที่ปลอดภัยต้องตกลงใจทั้งสองฝ่าย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่ จ.ปัตตานี ว่า ในเรื่องของความมั่นคงตนได้สรุปต่อที่ประชุมว่าทั้งหมดเรายังทำงานอยู่ ความจริงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาคใต้ทั้งหมดก็คือการบริหารงานในส่วนภูมิภาค โดยมีส่วนท้องถิ่นเข้ามาเสริม เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ที่มีกลุ่มจังหวัด จังหวัด ชุมชน ตำบล หมู่บ้าน แต่ถ้าพื้นที่ใดมีปัญหาต้องใช้กำลังด้านความมั่นคงก็ต้องใช้ กอ.รมน.เข้ามาเสริม ใช้กำลังตำรวจ ทหาร เข้ามาเสริมเนื่องจากกำลังมีไม่เพียงพอ ก็ต้องใช้ กอ.รมน.เป็นกลไกเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ในส่วนของงานด้านพัฒนาเมื่อไม่ทันกับพื้นที่อื่นก็ต้องใช้กลไกของ ศอ.บต.มาเสริม เมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็ไม่ต้องมีกำลัง กอ.รมน.มาเสริม

“รัฐบาลก็พยายามใช้กฎหมายปกติ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายความมั่นคง กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง เพียงแต่มี พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบกับบุคคลทั่วไป ในเรื่องการพัฒนาอะไรที่จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ต้องทำ จะทำสวนยางอย่างเดียวคงไม่ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

อย่างไรก็ตามเมื่อมีความมั่นคงปลอดภัยและมีการพัฒนาพื้นที่แล้ว ก็ต้องมีเรื่องของการพูดคุยสันติสุข และอย่าลืมว่าตนไม่เคยให้ใช้ว่าการเจรจา เพราะคำนี้จะใช้เฉพาะในพื้นที่มีการสู้รบขนาดใหญ่ มีการเจรจาสองฝ่าย เช่น เรื่องการหยุดยิง บ้านเราไม่ถึงขนาดนั้น บ้านเราอำนาจรัฐยังสามารถไปในทุกพื้นที่ เพียงแต่เกิดเหตุการลอบทำร้าย ใช้วิธีที่รุนแรง ก็สามารถใช้กฎหมายปกติ และกฎหมายพิเศษในบางประเด็นเพื่อเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบจับกุม แต่ในเรื่องสิทธิมนุษนชนก็ต้องไม่ไปละเมิดใคร ที่ผ่านมาก็กวดขันมาโดยตลอดเพราะตนเป็นห่วงในเรื่องดังกล่าว ดังนั้นเรื่องของสิทธิมนุษยชนต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือการละเมิดสิทธิ ถ้ามีการทำผิดกฎหมายเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมก็เป็นเรื่องการทำหน้าที่เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต้องยึดถือกฎหมายฉบับเดียวกัน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องการพูดคุยสันติสุขนั้น เราก็พร้อมจะคุยกับทุกคน อย่าลืมว่าที่ผ่านมาในสมัยสงครามเย็นเราแก้ปัญหาเรื่องของคอมมิวนิสต์ มีกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย งานในส่วนของการส่งคนกลับบ่ายก็เป็นหน้าที่ของกองทัพภาค 4 ก็เป็นเรื่องของคนไทยที่หลงผิดไปเราก็ต้องเข้าไปดูแลในเรื่องของชีวิตและทรัพย์สินมีความปลอดภัย เขาก็กลับมาเป็นคนไทยที่สมบูรณ์ที่ไม่ไปรวมมือกับอีกฝ่าย ในส่วนการพูดคุยกับผู้เห็นต่าง เราต้องอย่าพยายามไปยกระดับเขาขึ้นมา อย่างบางกลุ่มไม่เคยอยู่ในทำเนียบก่อการร้าย ไม่เคยเห็นต่างแล้วจะไปยกเขาขึ้นมาทำไม แต่สามารถยอมรับว่าเขาเป็นกลุ่มเห็นต่างเท่านั้นก็รับได้แค่นั้น ก็ต้องหาวิธีพูดคุย เพราะคนที่ทำให้เกิดปัญหาไม่ใช่รัฐบาล การพูดคุยเราจะต้องไม่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลเสียเปรียบ

เมื่อถามว่าในการพูดคุยสันติภาพ ความคืบหน้าการกำหนดพื้นที่ปลอดภัยเป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า พื้นที่ที่กำหนดไปต้องเห็นชอบทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามากดดันรัฐบาลมากๆนั้นไม่ได้ เพราะผู้ที่จะทำให้ปลอดภัยนั้นไม่ใช่รัฐบาล แต่เป็นคนที่ทำเหตุ ถ้าเขาทำไม่ได้จริงจะโทษรัฐบาลอีกก็ไม่ได้ เพราะเขาตกลงกันในเวทีพูดคุย ก็บอกกันว่าพื้นที่นี้ปลอดภัย แต่พอเกิดเหตุขึ้นมาก็บอกกลุ่มนี้ไม่ได้ทำ กลุ่มนั้นทำ มันเป็นอย่างนี้มาตลอด ใช่หรือไม่ แล้วอย่างนั้นจะเป็นใคร

ดังนั้นในเมื่อตัวเองจะเป็นคนพูดคุย ก็ต้องไปหารายละเอียดทางฝั่งนั้นมา มีกี่กลุ่ม ไปตกลงกันมา แต่รัฐบาลมีอยู่ข้างเดียว พูดทางเดียว แต่พวกนั้นมีกี่กลุ่ม กลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ซึ่งไม่เหมือนต่างประเทศ เขาใช้กำลังทหารปราบปราม ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด ของเรายังไม่ถึงขั้นนั้น ใช้กฎหมายปกติแก้ยังไม่เสร็จ ก็จะโดนมองเรื่องสิทธิมนุษยชนอีก แต่โอไอซีเข้ามา เขาพอใจ เขาบอกว่าประเทศไทยดูแลคนมุสลิมดีกว่าประเทศมุสลิมบางประเทศเสียอีก ก็แสดงว่าเราเริ่มทำงานได้ดีแล้ว เป็นที่พอใจของแล้ว ปัญหาคือคนของเราเข้าใจกันเองหรือไม่ ทั้งข้าราชการ ประชาชน ไทยพุทธ ไทยมุสลิม จะอยู่กันได้อย่างไร ซึ่งเดิมก็อยู่กันมาได้ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร