ไม่พบผลการค้นหา
'สามารถ ราชพลสิทธิ์' โพสต์เฟซบุ๊ก แจงเหตุผล เสนอ ขสมก. รับรถเมล์ NGV เบสท์ริน 292 คัน หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหาย 1,160 ล้านบาท ชูรักษาผลประโยชน์ชาวกรุงเทพ -หน่วยงานรัฐไม่ต้องเสียค่าโง่

นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุุ๊ก เรื่อง 'ทางออกรถเมล์เอ็นจีวี ไม่ต้องเสียค่าโง่ 1.1 พันล้าน!' โดยระบุว่า ผมเขียนบทความนี้โดยมีจุดมุ่งหวังที่จะให้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ใช้รถเมล์ที่มีคุณภาพดีอย่างทั่วถึงภายในเวลาไม่นาน และทราบดีว่ารถเมล์ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ใช้วิ่งรับส่งคนกรุง มีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน ทำให้รถมีสภาพเสื่อมโทรม

โดยที่ผ่านมา ขสมก.ได้พยายามจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 แต่มีปัญหาต่างๆ นานา จนถึงรัฐบาลนี้ ปัญหาก็ยังไม่จบสิ้น แม้ว่าต้องการซื้อล็อตแรกเพียง 489 คันเท่านั้น จากทั้งหมด 3,183 คัน ปัญหาก็ยังคงมีอยู่ 

จนถึงบัดนี้มีการประมูลจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีทั้งหมด 8 ครั้งแล้ว ล้มเหลวไป 7 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 8 ซึ่งผลจากการประมูลปรากฏว่า บริษัท ช.ทวี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน) ชนะการประมูล ทำให้มีรถเมล์เอ็นจีวีใหม่มาวิ่งอยู่บนท้องถนนจำนวน 100 คัน ดังที่เห็นกันอยู่ทั่วไป แต่ยังไม่ครบ 489 คัน ตามที่ต้องการซื้อล็อตแรก

แต่ก่อนจะถึงการประมูลครั้งที่ 8 มีการประมูลที่น่าสนใจอย่างมาก นั่นคือการประมูลครั้งที่ 4 ซึ่งบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ชนะ แต่ถูก ขสมก.บอกเลิกสัญญา

เป็นที่รู้กันในวงการผู้ประกอบการรถโดยสารว่า ช.ทวี และเบสท์ริน เป็นคู่แข่งที่หวังจะคว้าชัยชนะจากการประมูลจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ของ ขสมก. โดยมีการผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนถึงการประมูลครั้งที่ 4 เบสท์รินเป็นผู้ชนะ ด้วยการเสนอราคารถและค่าซ่อมบำรุงรักษาระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินรวมประมาณ 3,389.70 ล้านบาท จากราคากลางประมาณ 4,021.70 ล้านบาท หรือเบสท์รินเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึง 632 ล้านบาท

ต่อมาเบสท์รินนำรถเข้ามาจำนวน 489 คัน แต่ได้ส่งมอบให้ ขสมก.จำนวน 292 คัน และ ขสมก.ได้มอบอำนาจให้เบสท์รินนำรถจำนวน 292 คัน ไปจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก โดยมี ขสมก.เป็นเจ้าของ 

ทั้งนี้ ก่อนจดทะเบียน ขสมก.ได้ติดตั้งระบบติดตามรถหรือจีพีเอสในรถทุกคัน เพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบกที่กำหนดให้ติดตั้งจีพีเอสก่อนจึงจะสามารถจดทะเบียนได้ แต่ต่อมา ขสมก.ได้บอกเลิกสัญญากับเบสท์ริน โดยอ้างว่า (1) เบสท์รินส่งมอบรถช้ากว่ากำหนดในสัญญา และ (2) ไม่ได้เป็นรถที่ผลิตในประเทศจีนและประกอบในประเทศมาเลเซียตามที่ระบุไว้ในสัญญา แต่เป็นรถที่ผลิตในประเทศจีนทั้งหมด ทำให้เบสท์รินนำเรื่องนี้ไปฟ้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองกลาง

ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ ขสมก. ชดใช้ค่าเสียหายบอกเลิกสัญญาเบสท์ริน 1,160 ล้าน

ในที่สุด เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2561 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้ ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหายให้เบสท์ริน เป็นเงินจำนวนประมาณ 1,160 ล้านบาท โดยศาลปกครองกลางมีเหตุผลดังนี้ (1) การที่ ขสมก.อ้างว่าเบสท์รินส่งมอบรถช้ากว่ากำหนดนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะ ขสมก.ได้มีการขยายเวลาการส่งมอบแล้ว และการมอบอำนาจให้เบสท์รินนำรถไปจดทะเบียนโดยมี ขสมก.เป็นเจ้าของนั้น ถือว่าเป็นการรับรถโดยปริยาย และ (2) ในประกาศประกวดราคาของ ขสมก.ระบุชัดว่ารถที่จะส่งมอบให้ ขสมก.ต้องเป็นรถที่ผลิตในต่างประเทศ หรือประกอบในประเทศไทยก็ได้ ดังนั้น หากรถที่นำเข้ามาทั้งหมดเป็นรถที่ผลิตในประเทศจีน ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญที่จะนำไปสู่การบอกเลิกสัญญา

เมื่อย้อนดูราคาที่เบสท์รินเสนอต่อ ขสมก. คือ 3,389.70 ล้านบาท ซึ่งถูกกว่าราคากลางของ ขสมก.ถึง 632 ล้านบาท เป็นค่าซื้อรถ 489 คัน และค่าบำรุงรักษารถระยะเวลา 10 ปี หรือคิดเป็นราคาต่อคันได้เท่ากับ 6.93 ล้านบาท พบว่าถูกกว่าราคาที่ ช.ทวี ร่วมกับสแกนอินเตอร์เสนอต่อ ขสมก.ในการประมูลครั้งที่ 8

กล่าวคือ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์เสนอราคา 4,260 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่าราคากลางถึง 240 ล้านบาท เป็นราคารถจำนวน 489 คัน พร้อมค่าบำรุงรักษารถระยะเวลา 10 ปี เหมือนกัน หรือคิดเป็นราคาต่อคันได้เท่ากับ 8.71 ล้านบาท นั่นหมายความว่าราคาของเบสท์รินถูกกว่าราคาของ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ถึงคันละ 1.78 ล้านบาท ดังนั้น หากขสมก.ซื้อรถจากเบสท์รินทั้งหมด 489 คัน จะทำให้ประหยัดงบประมาณได้ถึง 870 ล้านบาท

นายสามารถ ระบุในข้อความที่โพสต์ไว้ว่า "แต่น่าแปลกมาก ที่ได้มีความพยายามบอกเลิกสัญญากับเบสท์ริน จนถูกศาลปกครองกลางสั่งให้ ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหายให้เบสท์รินถึงประมาณ 1,160 ล้านบาท ดังกล่าวแล้วข้างต้น ในขณะที่กรณีของ ช.ทวี ร่วมกับสแกนอินเตอร์ซึ่งเสนอราคาแพงกว่าถึงคันละ 1.78 ล้านบาท รวม 489 คัน เป็นเงินที่แพงกว่าถึง 870 ล้านบาท" 

ที่สำคัญ ราคาของ ช.ทวี ร่วมกับสแกนอินเตอร์ สูงกว่าราคากลางของ ขสมก.ถึง 240 ล้านบาท แต่กลับมีความพยายามเร่งรัดให้มีการทำสัญญา ทั้งๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีมติของคณะกรรมการ ขสมก.อนุมัติให้ ขสมก.ทำสัญญากับช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ จนถูกศาลปกครองกลางสั่งให้ทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการ ขสมก.ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น นั่นหมายความว่าไม่มีมติของคณะกรรมการ ขสมก. ที่อนุมัติให้ ขสมก.ทำสัญญาซื้อรถเมล์กับ ช.ทวี ร่วมกับสแกนอินเตอร์เกิดขึ้นในการประชุมดังกล่าว 

เสนอ ขสมก. รับรถเมล์ เบสท์ริน 292 คันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งแล้ว

ดังนั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ขอเสนอให้ ขสมก.รับรถของเบสท์รินจำนวน 292 คัน ซึ่ง ขสมก.ได้มอบอำนาจให้เบสท์รินไปจดทะเบียน โดยมี ขสมก.เป็นเจ้าของแล้ว จะทำให้ ขสมก.ไม่ต้องเสียค่าโง่ 1,160 ล้านบาท และจะทำให้คนกรุงมีรถใหม่ใช้ได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขให้เบสท์รินชำระภาษีให้ถูกต้องตามที่ถูกกล่าวหาว่าเบสท์รินสำแดงแหล่งกำเนิดของรถอันเป็นเท็จ

ทั้งหมดนี้ ด้วยความหวังที่อยากให้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ใช้รถเมล์ที่มีคุณภาพดีอย่างทั่วถึงในอนาคตอันใกล้ และที่สำคัญ จะต้องเป็นรถที่ได้มาจากการประมูลที่โปร่งใส ในราคาที่เป็นธรรม และประหยัดงบประมาณของประเทศ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :