'โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน' ตัดสินใจเปิดเผยเรื่องราวกระบวนการสอบสวนประเด็นการจ่ายสินบนของบริษัทลูกในประเทศไทยให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทรับทราบเมื่อ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา หลังบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นได้แจ้งข้อกังวลดังกล่าวให้กับกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วง เม.ย. 2563
กระบวนการสืบสวนสอบสวนภายในของโตโยต้าที่ถูกให้ชื่อว่า 'โปรเจกต์แจ็ก' (Project Jack) แท้จริงแล้วเป็นการสืบหาข้อเท็จจริงว่า 'โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย' ละเมิดกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการธุรกิจของสหรัฐอเมริกาหรือกฎหมายการติดสินบนของสหราชอาณาจักร ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการภาษีนำเข้า 'โตโยต้า พรีอุส' ผ่านการติดสินบนผู้พิพากษา, ที่ปรึกษาศาล และบุคลอื่นที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ประเด็นรถพรีอุสเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรประเทศไทยชี้ว่าบริษัทโตโยต้าขาดส่งภาษีนำเข้าเป็นเวลา 2 ปี โดยมีมูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ณ อัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน)
ต้นตอสำคัญอันนำไปสู่การขาดส่งภาษีนำเข้านั้นเป็นเพราะบริษัทไม่ได้ขายรถยนต์รุ่นดังกล่าวที่ผลิตขึ้นในไทย แต่เป็นการขายรถยนต์ที่ประกอบขึ้นจากต่างประเทศแทน ซึ่งหากพบว่าโตโยต้าผิดจริง บริษัทจะต้องแบกภาระต้นทุนภาษีนำเข้าที่ขึ้นไปสูงถึง 80% ของมูลค่ารถยนต์ จากเดิมที่อยู่ราว 10% เท่านั้น
จากประเด็นตั้งต้นนี้ บริษัทแม่ของโตโยต้าจึงตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนว่าบริษัทลูกในไทยมีพฤติกรรมติดสินบนให้กับ บริษัทที่ปรึกษากฎหมายในไทย หรือ บุคคลที่อาจมีส่วนสำคัญในกระบวนการตัดสินคดีรถพรีอุสที่อยู่ในชั้นศาล จำนวน 12 คน จริงหรือไม่ บริษัทยังต้องการตรวจสอบเม็ดเงินรวมทั้งหมดที่อาจถูกใช้ไปเพื่อคำพิพากษาที่ออกมาเอื้อกับบริษัทเช่นเดียวกัน
หนึ่งในการประเมินสำคัญว่าบริษัทลูกในไทยมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายและบรรทัดฐานที่บริษัทแม่ยึดถือหรือไม่ ดูจากความเชื่อมโยงไปจนถึงอิทธิพลระหว่างผู้ที่อาจได้รับเงินสินบนเหล่านั้นกับเหล่าผู้พิพากษาศาลฎีกาของประเทศไทย
แม้รายงานของบริษัทจะชี้ว่ากระบวนการตรวจสอบยังอยู่ในชั้นต้นเท่านั้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้เมื่อได้รับข้อมูลใหม่เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี เอกสารย้ำถึงความเป็นไปได้ที่บริษัทลูกในประเทศไทยพยายามติดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) เพื่อเอื้อประโยชน์กรณีรถพรีอุส
อีริก บูธ โฆษกโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ย้ำชัดว่า บริษัทยึดถือในหลักปฏิบัติของความเป็นมืออาชีพและมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างไม่ยิ่งหย่อนในทุกประเทศที่เข้าไปทำธุรกิจ และจะไม่ทนต่อการธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น