คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคประชาธิปัตย์ โดยนางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ เลขาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (26 ต.ค.) ตั้งแต่เวลา 16.00 น. – 17.30 น. คณะกรรมการ กกต. ได้จัดการดีเบตของผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 3 คน ซึ่งจะมีรูปแบบที่น่าสนใจ คือการเชิญสื่อที่มีชื่อเสียง 3 ราย มาเป็นตัวแทนสื่อเพื่อตั้งคำถาม 3 คำถาม นอกจากนี้ยังมีคำถามจากคนรุ่นใหม่ หรือตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ 3 คำถาม และคำถามที่คัดเลือกจากประชาชนที่ส่งเข้ามาทางเพจพรรค และไลน์ @DemocratPartyTH อีก 3 คำถาม รวมทั้งหมด 9 คำถามเพื่อให้ผู้สมัครตอบอย่างกระชับและน่าสนใจในเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้ามาชมการดีเบตดังกล่าวได้ที่บริเวณพรรคประชาธิปัตย์ โดยทางพรรคได้จัดสถานที่รองรับไว้แล้ว
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 2 แถลงจุดยืนและวิสัยทัศน์การบริหารประเทศ โดยย้ำว่าถ้าได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคจะดำเนินนโยบายเร่งด่วน ยึดแนวทางประชาธิปไตยสวัสดิการ เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางเสรีประชาธิปไตยที่เป็นแนวคิดล้าหลัง นำไปสู่การผูกขาดปลาใหญ่กินปลาเล็ก และรวยกระจุก จนกระจาย รวมทั้งจะเร่งดำเนินการบริหารจัดการภายในพรรคให้เห็นผลใน 2 สัปดาห์ ส่วนการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.จะให้สิทธิอดีต ส.ศ. แต่จะให้ความเป็นธรรมกับคนหน้าใหม่ที่มีศักยภาพและต้องการแขง่ขันเพื่อมาเป็นผู้สมัคร ส.ส.ด้วย ยืนยันไม่ได้ล้างบางอดีต ส.ส.ที่ไม่สนับสนุนตนเอง
นพ.วรงค์ ระบุว่า ตนพร้อมเป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีโดยวันใดที่มีอำนาจในรัฐบาล สิ่งที่จะดำเนินการให้เห็นผลใน 3เดือน คือแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ส่วนจุดยืนทางกาเรมืองจะไม่จับมือพรรคที่ถือว่าการทุจริตเป็นเรื่องปกติ จะทำงานร่วมกับทุกพรรคที่เคารพกฎหมาย จะต่อต้านพรรคที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพรรคใดที่มีพฤติกรรมจาบจ้วง ถือว่าเป็นศัตรูกับพรรคประชาธิปัตย์
"จะดำเนินนโยบายเร่งด่วน โดยยึดแนวทางประชาธิปไตยสวัสดิการ เพราะเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางเสรีประชาธิปไตยที่เป็นแนวคิดล้าหลัง" นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 2
ขณะที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 3 ระบุว่า ตนพร้อมที่จะเป็นหัวหน้าพรรคของทุกคน และพร้อมที่จะนำพรรคสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งด้วยจุดยืนนโยบายวิสัยทัศน์ใหม่ที่ชัดเจนเคยทำและทำได้จริงโดยเฉพาะแนวทางการเมืองสีขาวและกฎเหล็ก 5 ข้อจะพลิกโฉมหน้าพรรคประชาธิปัตย์แบบ 360 องศา และสร้างจุดเปลี่ยนการเมืองไทยแบบฉับพลันที่เรียกว่าปรากฎการณ์ ดิสรัฟทีฟ โพลิติกส์ (Disruptive politics)
นายอลงกรณ์ เชื่อมั่นว่าสมาชิกพรรคและประชาชนต้องการการเมืองใหม่ไม่ต้องการการเมืองแบบเก่าๆ เบื่อความขัดแย้งแตกแยกเบื่อการคอร์รัปชันเบื่อการผูกขาดต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำยากจน การปฏิรูปพรรคด้วยแนวทางการเมืองสีขาว 4-5-6 คือความแตกต่างที่ชัดเจนและเป็นทางเลือกใหม่อย่างแท้จริงโดยตนมีเป้าหมาย 3 ประการคือ 1.สร้างเอกภาพใหม่ภายในพรรค 2.สร้างศักยภาพใหม่ด้วยการปฏิรูปพรรค 3.สร้างชัยชนะในการเลือกตั้ง
“จะชนะเลือกตั้งจะสร้างพรรคให้เข้มแข็งสิ่งแรกที่ต้องทำทันทีคือสร้างความสามัคคีก่อน ผมพร้อมเป็นโซ่ข้อกลางเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของประชาธิปัตย์ตามคอนเซ็ปต์ครอบครัวเดียวกัน (One Democrat One Family) พร้อมกับปฏิรูปพรรคและเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ถ้าเราไม่สามัคคีกันเราจะเดินต่อไปไม่ได้ไม่ว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรค”
นายอลงกรณ์ ระบุว่า การบรรลุเป้าหมายในภารกิจเลือกตั้งและภารกิจปฏิรูปดังกล่าวได้เตรียมแผนปฏิบัติการ 5 ภารกิจแรกทำทันที คือ 1.ฟอร์มทีมคณะกรรมการบริหารพรรคจากทุกฝ่ายรวมทั้งทีมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และทีม นพ.วรงค์ต่อที่ประชุมใหญ่ 11 พ.ย. 2. แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารการเลือกตั้ง 3.แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปพรรค 4.แต่งตั้งคณะกรรมการคุณธรรม และ 5.จัดตั้งหน่วยงานใหม่ 5 สำนัก 4 ศูนย์ภายใน