นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวเตือน 10 ประเทศอาเซียนระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในวันนี้ (28 เม.ย.) ให้ระวังภัยคุกคาม 2 ประการ ได้แก่ ภัยจากกลุ่มติดอาวุธไอเอสซึ่งพ่ายแพ้สงครามในตะวันออกกลาง และกำลังขยายตัวเข้ามาในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนภัยอีกประการหนึ่งคืออาชญากรรมไซเบอร์ที่พุ่งเป้าโจมตีเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นในภูมิภาค
ทั้งนี้ ผู้นำสิงคโปร์ระบุว่ากลุ่มอาเซียน 10 ประเทศซึ่งมีประชากรรวมกันประมาณ 650 ล้านคน เผชิญกับปัญหาการก่อความไม่สงบโดยกลุ่มมุสลิมที่มีแนวคิดสุดโต่งมานานแล้ว และการถือกำเนิดของกลุ่มไอเอสก็ได้กลายเป็นเครื่องมือแสวงหาแนวร่วมใหม่ๆ ให้กับพวกนักรบสุดโต่งเหล่านี้
เหตุยิงต่อสู้และระเบิดฆ่าตัวตายที่ใจกลางกรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียเมื่อเดือน ม.ค. 2559 ถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มไอเอสประกาศอ้างผลงานการโจมตีในอาเซียน ขณะที่เมืองมาราวีของฟิลิปปินส์ซึ่งถูกยึดครองอยู่นานหลายเดือนในปีที่แล้วก็เป็นฝีมือของกลุ่มนักรบที่สวามิภักดิ์ต่อไอเอส และกว่ารัฐบาลฟิลิปปินส์จะยึดเมืองคืนจากกลุ่มมาราวีได้ก็มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยราย
"แม้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังอยู่ในภาวะสงบ แต่ภัยคุกคามเหล่านี้ก็เป็นเรื่องจริง" ลีเซียนลุงกล่าว
ด้วยเหตุนี้ ผู้นำสิงคโปร์ได้เรียกร้องให้ผู้นำประเทศอาเซียนปรับตัวให้ทันต่อภัยคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามแบบดั้งเดิมหรือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ อย่างการก่อการร้ายและการโจมตีทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้นำอาเซียนทั้งหมดต่างเห็นพ้องให้มีการยกระดับการประสานงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำเมื่อวันศุกร์ (27 เม.ย.) ก่อนที่การประชุมสุดยอดผู้นำจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการวันนี้
ลี เซียน ลุงยังเตือนด้วยว่า ระบบการค้าเสรีซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจที่เน้นพึ่งพาการส่งออกของอาเซียนเติบโตได้ดี กำลังถูกคุกคามโดยนโยบายการกีดกันการค้าในประเทศมหาอำนาจบางแห่ง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่สงครามการค้า จะบั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในภาพรวม กลุ่มประเทศอาเซียนจึงจำเป็นต้องตอบโต้ลัทธิกีดกันการค้าที่รุนแรงขึ้นด้วยการบูรณาการเศรษฐกิจ และส่งเสริมความร่วมมือในสาขาอื่นๆ
"หากเราแยกกันอยู่โดดๆ การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นเรื่องยาก... แต่หากเราพูดด้วยเสียงของอาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียว มันก็จะมีประสิทธิภาพขึ้น"
ขณะที่ พันตำรวจเอกกฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกับสำนักข่าวแปซิฟิคว่า พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร แต่เพื่อความไม่ประมาท ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการให้พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะดูแลงานด้านความมั่นคงประสานข้อมูลกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศอยู่ตลอด และสั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เข้มงวดในการคัดกรองบุคคลและยานพาหนะที่เข้า-ออกประเทศ รวมถึง สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเฝ้าระวังอาชญากรข้ามชาติ ที่อาจจะแฝงตัวเข้ามาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว ซึ่งได้มีการจัดทำฐานข้อมูลอาชญากร เพื่อป้องกันในอนาคตด้วย สำหรับการข่าวขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่เป็นนัยยะสำคัญ
ส่วนเรื่องภัยคุกคามจากอาชญากรรมไซเบอร์ ที่พุ่งเป้าโจมตีเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นในอาเซียนนั้น พันตำรวจเอกกฤษณะ ยอมรับว่าเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นมานานและเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาของเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ICT) หน่วยงานความมั่นคงและผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต หารือและเฝ้าระวังมาตลอด รวมถึงสั่งการให้พัฒนาบุคคลากรและจัดเตรียมเครื่องมือที่ยังขาดแคลนให้พร้อมรับมือกับรูปแบบของการก่ออาชญากรรม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: