วันที่ 30 ม.ค. พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี ทดแทนในปีงบประมาณ 68 ว่า โครงการดังกล่าวต้องใช้งบประมาณสูงและระยะเวลาในการจัดหา เตรียมการผลิตจากบริษัทขายอาวุธมากพอสมควร เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์การสู้รบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทั่วโลก ทำให้มีความต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์สูง ถ้าไม่วางแผนไว้ก็จะเป็นช่องว่างได้ กองทัพอากาศจึงต้องทำหน้าที่เตรียมการเพื่อให้เกิดความพร้อมรบ วันนี้เราอยู่อย่างสงบสุขแต่ก็ต้องเตรียมความพร้อมไว้ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 7-10 ปีในการเข้ามาประจำการหลังจากเราอนุมัติ
ผบ.ทอ. กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันกองทัพอากาศได้จัดทำคำของประมาณปี 2568 วงเงินกว่า 19,000 ล้านบาท โดยมีเครื่องบินรบอยู่ 2 ค่ายที่อยู่ในข่ายการพิจารณาคือเอฟ16 บล็อค 70 สหรัฐฯ และ กริฟเพ้นท์อี จากสวีเดน ในเรื่องความคุ้นเคยการใช้งานถือว่ามีประสิทธิภาพกับกองทัพอากาศทั้ง 2 แบบ
โดยขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกแบบแล้ว ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้มีงบประมาณมากนัก ถ้าค่ายไหนให้ในสิ่งที่ตรงความต้องการ และให้ความคุ้มค่ากับเรามากที่สุด ในเรื่องการดูแลปรับปรุงอุปกรณ์เก่าที่เรามีอยู่รวมถึงการซ่อมบำรุงและการดูแลที่เราจะพัฒนาไปข้างหน้าได้ที่ สำคัญที่สุดคือ offset policy ซึ่งเป็นเรื่องที่เราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่จะตกสู่ภาครัฐ โดยกองทัพอากาศพยายามใช้เจตนารมณ์นี้ในการจัดซื้ออาวุธเพื่อให้เงินเข้าประเทศด้วย ขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนนโยบายนี้ แต่ความต่อเนื่องและเป็นไปได้ก็คงเป็นส่วนของภาครัฐอื่นๆด้วย
ส่วนรัฐบาลจะมีส่วนในการตัดสินใจเลือกแบบด้วยหรือไม่นั้น ผบ.ทอ. กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้บอกให้กองทัพตัดสินใจในสิ่งที่ดีที่สุด ตนก็ให้คณะกรรมการคัดเลือกแบบพิจารณา ตนไม่ทราบแม้กระทั่ง TOR ซึ่งตนไม่อยากทราบ เนื่องจากตนให้สิทธิ์ให้เขาไปพิจารณาเชื่อมั่นว่าคณะทำงานที่แต่งตั้งมีความรู้ความสามารถที่จะสรรหาพิจารณาสิ่งที่ที่สุดที่สุดให้กับกองทัพอากาศยืนยันว่าไม่มีความกดดันจากที่ไหน
เมื่อถามว่า ถ้าใช้หลักในการต่างตอบแทนทางเศรษฐกิจทางบริษัทของสวีเดนที่ผลิตกริฟเพ้นท์ จะได้เปรียบมากกว่าทางสหรัฐฯหรือไม่ ผบ.ทอ. กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการยืนยันตรงนั้นเพียงแต่เราวางมาตรฐานในเบื้องต้นไว้ แต่ถ้าถามว่าการแลกเปลี่ยนของสหรัฐฯก็ทุน333 เป็นรูปของงบประมาณที่ให้เรามาในการช่วยเหลือประชาชนสร้างโรงเรียน ซึ่งการตอบแทนเศรษฐกิจนั้นอาจจะไม่ใช่การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรแต่อาจจะเป็นการตั้งโรงงานการผลิตด้วย
ส่วนปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศมีผลต่อการเลือกแบบเครื่องบินไม่นั้น ผบ.ทอ. กล่าวว่า ต้องให้ความสำคัญกับมิตรประเทศ แต่ต้องดูด้วยว่าเรามีพื้นฐานจากอาวุธยุทโธปกรณ์ของค่ายไหนมาก่อน ทั้งความชำนาญ คู่มือ การซ่อมบำรุง การสอน เพราะส่วนของเครื่องอุปกรณ์ถ้ามีการเปลี่ยนโดยกระทันหันจะยากต่อการสร้างใหม่ หรือ ก่อตั้งหน่วยใหม่ ทำให้เราต้องมาเริ่มต้นใหม่มีผลกระทบต่อขีดความสามารถของเราโดยตรง
เมื่อถามว่า ปัจจัยในการจัดหาต้องมองเรื่องความต่อเนื่องของค่ายเครื่องบินในระยะยาว ไม่ให้มีความหลากหลายแบบ หรือไม่นั้น พล.อ.อ.พันธ์ภักดี กล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวกัน กองทัพอากาศก็มีทั้งเครื่องบินเอฟ 5 เอฟ 16 และกริฟเพ้นท์ ครั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ในการพิจารณาฝูงต่อไปที่จะมาแทนฝูง 403 หลังปี 2580 อาจจะเป็นเอฟ 35 หรืออะไรก็ได้หรืออาจจะเป็นเครื่องบินในเจนเนอเรชั่นที่6
“ถ้าถามว่าลำบากใจหรือไม่ ก็ลำบากใจนะ แต่ผมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่เป็นการตัดสินใจร่วมของคณะกรรมการพิจารณาโดยการนำข้อมูลมาดูด้วยเหตุผล ความคุ้มค่า ณ ปัจจุบันและอนาคต ที่เป็นห่วงคือการดำรงสภาพการบินที่มีขีดความสามารถอย่างต่อเนื่องและระยะยาวในเรื่องของอายุการใช้งานการเชื่อมโยงกับระะบเก่าได้ ตรงนี้เป็นการเรื่องที่สำคัญที่สุดเราจะไม่ให้คนกองทัพอากาศผิดหวังอย่างน้อยที่สุดประชาชนก็จะไม่ผิดหวัง โดยตอนนี้เราก็ใช้วิธีการสำรวจความคิดเห็นจากคอมเม้นต์ต่างๆ ทางโซเชี่ยลมีเดีย ประกอบด้วยลักษณะคล้ายๆเป็นโพลล์ “
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าประชาชนจะต่อต้านวิพากย์วิจารณ์เรื่องนี้ ผบ.ทอ. กล่าวว่า ถ้าเราทำหน้าที่ของเราเพื่อประชาชนจริงๆ ทำความเข้าใจว่าที่เราซื้อเครื่องบินมาแล้วทำอะไรบ้าง วันนี้อาจจะไม่มีเหตุการณ์ แต่หากเกิดเหตุการณ์แล้วราไม่มีความพร้อม ประชาชนก็คงตำหนิเราเหมือนกัน ดังนั้นการได้หารือและพูดคุยก็จะทำให้เข้าใจว่า ทอ.รวมถึงเหล่าทัพอื่น มีระบบการจัดหายุทโธปกรณ์อย่างไร ในปัจจุบันมีข้อตกลงคุณธรรม โดยมีคณะกรรมการกลางเข้ามาดูแลให้คำแนะนำทั้งจากกรมบัญชีกลาง และนักวิชาการหลัก ถ้ากังวลเรื่องความไม่โปร่งใสก็ขอให้ตรวจสอบได้ แต่ถ้ากังวลเรื่องอื่นๆตนก็ยังไม่ทราบว่าเรื่องใด ถ้าเป็นเรื่องงบประมาณก็จะใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด ขอให้คลายกังวลว่า เมื่อได้เครื่องบินมาประจำการแล้วใช้ไม่น้อยกว่า 30 ปีเช่นเดียวกับยุทโธปกรณ์ที่เรามีอยู่เช่นเครื่องบินลำเลียง c-130ที่เราใช้มา41 ปี
ส่วนมหาอำนาจจะมีผลต่อการตัดสินใจหรือไม่นั้น พล.อ.อ.พันธ์ภักดี กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศเล็ก และอยู่ตรงกลางซึ่งหลายประเทศก็ให้ความสนใจในเรื่องการบาลานซ์ของไทยว่าทำได้อย่างไร ซึ่ง
นั่นเป็นธรรมชาติของคนไทยมากกว่า คิดว่ามหาอำนาจ มิตรประเทศเข้าใจและมีเหตุผล เพราะไม่เคยไปทำอะไรให้เกิดความหวัดระแวงหรือไม่ไว้วางใจ และตนก็ยืนยันกับมิตรประเทศว่ากองทัพอากาศไม่เคยสะสมอาวุธไปต่อสู้กับใครในรอบบ้าน แต่เราจำเป็นต้องมีเพื่อความทัดเทียมในการป้องกันตัวเอง และทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านในการปกป้องถ้าเกิดเหตุการณ์ในภูมิภาคเพเราต้องร่วมมือกัน อยากให้มองภาพในลักษณะของทหารที่เราเป็นรั้ว มีความเข้มแข็ง