ไม่พบผลการค้นหา
พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ 'รัฐบาล คสช.' ปลดล็อกพรรคการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข ชี้กฎห้ามหาเสียงผ่านโซเชียล สวนทางนโยบายไทยแลนด์ 4.0

พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอให้ปลดล็อกเงื่อนไขทางการเมืองทั้งหมดทันที จากกรณีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ซึ่งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา

โดยมีเนื้อหาให้พรรคการเมืองดำเนินการแก้ไขข้อบังคับพรรค , ประชุมใหญ่เลือกหัวหน้าพรรค , กรรมการบริหาร , และหาสมาชิกพรรค ก่อนกฎหมายเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ 90 วัน นอกจากนั้นยังห้ามพรรคการเมืองสื่อสารกับประชาชนที่มีลักษณะเข้าข่าย การหาเสียง และควบคุมการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่อาจตีความว่าเข้าข่ายเป็นการหาเสียงนั้น 

พรรคเพื่อไทยได้พิจารณาคำสั่งดังกล่าวแล้วเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจจำกัดบทบาทพรรคการเมือง และจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสร้างปัญหาที่บั่นทอนการพัฒนาประชาธิปไตยและการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลายประการ ดังนี้ 

1.จากกรณีที่รัฐบาลและ คสช. ได้ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 และอนุญาตให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ในระดับหนึ่งนั้น เป็นการควบคุมให้ใช้อำนาจได้เพียงขั้นพื้นฐาน คือ ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานด้านธุรการภายในเพื่อการประสานงานในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้อนุญาตให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมหลักที่สำคัญในการรับฟังและสื่อสารข้อมูลนโยบายกับพี่น้องประชาชนได้

ในขณะที่กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองฟากฝ่ายที่สนับสนุน คสช. กลับสามารถเดินสายพบปะประชาชนในลักษณะหาเสียง รับฟังความเห็นในรูปแบบต่างๆได้ อีกทั้งรัฐบาลยังสามารถช่วงชิงโอกาส โดยอาศัย ครม. สัญจร และการทุ่มงบประมาณของรัฐ เพื่อสร้างคะแนนนิยมต่อประชาชนอย่างเต็มที่เพียงฝ่ายเดียว อันเป็นการกระทำซึ่งรัฐบาลที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยทั่วไปไม่สามารถกระทำได้ ถือเป็นการแสวงประโยชน์และเอาเปรียบทางการเมืองต่อพรรคการเมืองอื่นๆอย่างน่าละอาย 

2. คำสั่งดังกล่าวเป็นเงื่อนไขบังคับพรรคการเมือง อันไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับการสื่อสารที่เป็นจริงของยุคสมัยนี้ กรณีการห้ามใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลักษณะ เข้าข่ายการหาเสียง ซึ่งเป็นการใช้คำที่ไม่มีขอบเขตชัดเจน ขาดรูปธรรมที่จะทำความเข้าใจ และยังสามารถถูกนำไปตีความได้หลายด้าน การเขียนกฎหมายในลักษณะเช่นนี้มีโอกาสที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบแก่พรรคการเมืองที่คิดต่าง และอาจถูกนำมาตีความเพื่อใช้กลั่นแกล้งคู่แข่งได้โดยง่าย 

3. การห้ามการสื่อสารระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชน เป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในการรับรู้ข้อเท็จจริงและมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นกับพรรคการเมือง เพื่อสะท้อนความต้องการนโยบายที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง การควบคุมการทำงานของพรรคการเมืองเช่นนี้ เป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ทำให้กระบวนการสร้างนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆยิ่งถูกจำกัด

โดยการสื่อสารทางตรงของพรรคการเมืองและประชาชนในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย เป็นกติกาสำคัญของประชาธิปไตยที่แข็งแรง และบริสุทธิ์ ซึ่งประเทศต่างๆ ทั่วโลกยึดถือเป็นหลักการสากล การเลือกตั้งที่จำกัดสิทธิประชาชนในการรับรู้ รับฟัง และเข้าถึงข้อมูลข้อเท็จจริงในการตัดสินใจเลือกนโยบายที่พอใจ นับว่าเป็นการเลือกตั้งที่บั่นทอนพลังของจิตวิญญาณประชาธิปไตยอย่างยิ่ง  

4. รัฐบาลพยายามประโคมข่าวและสร้างภาพว่าเป็นรัฐบาลที่มีความทันสมัย และพยายามก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจะเร่งผลักดันประเทศไทยให้เป็นประเทศ 4.0 ที่เทียบเทียมและเท่าทันโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ในโลกยุคใหม่ การติดต่อสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารของคนในสังคมโลกที่มีความเจริญและเท่าทันการเปลี่ยนแปลง

ที่สำคัญเป็นเครื่องชี้วัด หลักประกัน เสรีภาพทางความคิด และการแสดงออกของผู้คน อีกทั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้คนในสังคมสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่าย รวดเร็ว สะดวกและทันท่วงทีและเป็นเครื่องมือที่ทำให้ความรับรู้ของคนในสังคมกว้างขวางและประหยัดค่าใช้จ่าย เรื่องที่ง่ายๆเช่นนี้รัฐบาล ยังไม่เข้าใจแล้วจะนำพาสังคมไทยไปสู่สังคม 4.0ได้อย่างไร 

นอกจากจะสะท้อนการขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ แล้วยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของประเทศอีกด้วย ประเทศไทยภายใต้การนำของกลุ่มผู้มีอำนาจที่ขาดวิสัยทัศน์เช่นนี้ คงมีความสามารถทำให้ประเทศเป็นได้เพียงประเทศ 0.4 เท่านั้นเองด้วยคำสั่งที่นำไปสู่การควบคุม จำกัดสิทธิประชาชนและพรรคการเมืองเช่นนี้ 

พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องไปยัง คสช. และรัฐบาล ให้ปลดล็อกเงื่อนไขทางการเมืองทั้งหมด ทันที มิใช่การคลายล็อก อย่างที่กำลังมีนัยยซ่อนเร้นให้ดำเนินการในปัจจุบัน เพื่อให้พรรคการเมืองทุกพรรคได้สามารถติดต่อสื่อสาร สร้างความเข้าใจ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อกำหนดโอกาสและแนวทางการพัฒนาประเทศตามความต้องการของตน และสามารถร่วมกำหนดสร้างแนวนโยบายสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับชีวิตของตนต่อไป 

"ชัยเกษม"เรียกร้อง คสช.ปลดล็อคไม่ใช่คลายล็อก

นายชัยเกษม นิติสิริ แกนนำพรรคเพื่อไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช. ต้องปลดล็อกให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้เต็มรูปแบบ ไม่ใช่เพียงการคลายล็อก ตามคำสั่งคสช. ที่ 13/2561 เท่านั้น รูปแบบการคลายล็อค มีผลให้พรรคการเมืองไม่สามารถดำเนินกิจกรรมได้ในหลายส่วน ดังนั้นวิธีการดังกล่าวจึงไม่ต่างไปจากการชิงความได้เปรียบทางการเมืองของรัฐบาล

นายชัยเกษม ระบุว่า การทำ Primary vote ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร จึงจำเป็น ต้องส่งความเห็นดังกล่าว ให้กรรมการการเลือกตั้งพิจารณาอีกครั้ง เพื่อให้กระบวนการ เป็นไปตามกฎหมาย 

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายงบประมาณ ของรัฐบาล ในช่วงก่อนถึงการเลือกตั้ง ต้องยุติ ไม่ควรสร้าง งบประมาณในลักษณะผูกพัน เพราะอาจเป็นการสร้างความได้เปรียบ แต่ปัจจุบันกลับพบว่า คณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่ สัญจรพบประชาชน และใช้งบประมาณมหาศาล วิธีการดังกล่าว จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจถูกประชาชนตั้งคำถาม ว่าเป็นการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ 

"พงษ์เทพ" ยันเปิดโอกาสให้สมาชิกและประชาชนมีส่วนร่วมเลือกกก.บริหาร-หน.พรรค

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าหลังการคลายล็อก พรรคเพื่อไทยเตรียมดำเนินการทางกฎหมาย เช่นการเลือกกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรค ซึ่งไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น เพราะยังมีบางประเด็นที่ติดเงื่อนไข คสช.

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค จะเปิดโอกาสให้สมาชิก รวมถึงประชาชนได้มีส่วนร่วม อย่างกว้างขวาง เพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ 

คณะที่การจัดทำนโยบาย ทางพรรคเพื่อไทยได้พูดคุย และดำเนินการไว้ใน 2 แนวทาง คือแนวทาง การจัดทำนโยบายเพื่อใช้หาเสียงเลือกตั้ง และการทำนโยบาย ตามข้อบังคับของพรรคการเมือง