จากกณีที่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีการตั้งข้อสังเกตุในรายการเดินหน้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมาถึงการหายตัวไปของนายมุสตาซีดีน บาวา ครูสอนศาสนาโรงเรียนดรุณศาสตร์ หนึ่งในผู้ชุมนุมต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลาว่า ลักษณะลีลาจะเหมือนสะบ้าย้อย เขาบอกว่าหายไม่กลับบ้านถูกตำรวจถูกทหารกักตัวไป แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ท่านหนีไปเที่ยวกับผู้หญิงที่ไม่ใช่ครอบครัวของท่านที่สตูล พร้อมกับย้ำว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตุและไม่ได้ว่านายมุสตาซีดีน
นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า พล.ท.สรรเสริญควรชี้แจงเฉพาะข้อเท็จจริงว่า ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ถูกจับ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอ แต่การที่ไปพูดพาดพิงถึงเรื่องครอบครัว ไปถึงว่าเขาอาจจะไปกับผู้หญิงที่ไม่ใช่คนในครอบครัวก็ต้องอย่าลืมว่านายมุสตาซีดีนเป็นมุสลิมและอยู่ในพื้นที่ที่มีบริบทและวัฒนธรรมที่เป็นมุสลิม การที่ผู้ชายจะออกไปไหนกับคนที่ไม่สมรสโดยถูกต้องถือว่าเป็นความผิด เป็นสิ่งที่สังคมมุสลิมไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้นการพูดจาแบบนี้ นอกจากเป็นการไม่ให้เกียรติ ลดทอนความน่าเชื่อถือแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวด้วย เพราะนายมุสตาซีดีนมีลูกและภรรยาด้วย ที่สำคัญการการพูดในลักษณะนี้ถือว่าเป็นการเหยียดเพศ
“มันเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์การที่บอกว่าเขาไปกับผู้หญิงที่ไม่ใช่ครอบครัว มันเป็นการพูดที่ให้เห็นว่า เขาผิดศีลธรรมซึ่งการไปกล่าวหาว่าใครอาจจะผิดศีลธรรมในการที่ไปกับคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวหรือ คนที่ไม่ได้แต่งงานด้วย ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง การที่จะลดทอนความน่าเชื่อถือต่าง ๆ ที่สำคัญในการที่จะไม่เอาเรื่องของเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมันจะเข้าข่ายของการเหยียดเพศไปด้วย”นางอังคณากล่าว
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีเองก็พูดมาเสมอว่าประเทศไทยให้ความสำคัญในเรื่องของการเสมอภาคทางเพศ เพราะฉะนั้นก็ควรกำชับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการให้เกียรติในความเป็นเพศที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการกระทำก็ควรคำนึงถึงมิติความอ่อนไหวทางเพศสภาพด้วย
“ ถ้าครอบครัวเห็นว่าเรื่องนี้ทำลายความน่าเชื่อถือของครอบครัวและทำให้เกิดภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อครอบครัว เขาก็ไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาล ถ้าหากเห็นว่าส่งผลกระทบอย่างเช่น เด็ก ๆ เวลาไปโรงเรียนอาจถูกเพื่อนล้อ อย่างนี้เป็นต้น คุณไก่อูเองก็มีครอบครัว เวลาพูดอะไรก็น่าจะคิดถึงอกเขาอกเราอะไรแบบนี้” นางอังคณากล่าว
เมื่อถามถึงบทบาทภาครัฐท่ามกลางความขัดแย้งอย่างกรณีเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุมต้านโรงไฟฟ้าเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น นางอังคณากล่าวว่า เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริง อย่างกรณีที่ประชาชนอยากพบท่านนายกก็ควรมีคณะทำงานเข้าไปคุย ไปนั่งคุยกัน ถ้าท่านนายกไม่สะดวกจะให้ใครมารับหนังสือ ในกรณีแบบนี้ถ้าไปห้ามก็เป็นการจำกัดเสรีภาพทั้งนี้ชาวบ้านเองก็มีเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ก็ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันและเกิดเหตุอย่างที่ไม่อยากให้เกิด