นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกา มียุงลายเป็นพาหะนำโรคติดต่อมาสู่คนได้โดยการถูกยุงที่มีเชื้อกัด ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการหรืออาการไม่รุนแรง อาการที่พบ เช่น มีผื่นไข้ ตาแดง ปวดข้อ นอกจากนี้ยังมีช่องทางติดเชื้อโดยการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกและทางเพศสัมพันธ์ ประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาตั้งแต่ปี 2559 และ 2560 จำนวน 1,114 รายและ 557 ราย ตามลำดับ
สำหรับในปี 2561 (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พ.ค.2561) พบผู้ติดเชื้อจำนวน 73 ราย ซึ่งปัจจุบันไวรัสซิกายังไม่มียารักษาโรคและวัคซีนป้องกันโรค แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) พบความเชื่อมโยงว่าแม่ที่ติดเชื้อไวรัสซิกาขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลให้ตัวอ่อนมีพัฒนาการผิดปกติ และทารกที่คลอดมีความเสี่ยงที่จะมีอาการศีรษะเล็ก (microcephaly) แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นในประเทศไทยหรือไม่
(AFP-ทารกแฝดหญิงวัย 8 เดือนที่บราซิลมีภาวะศีรษะเล็ก เนื่องจากแม่ติดเชื้อไวรัสซิกาขณะตั้งครรภ์, 2560)
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงพัฒนาวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 เป็นการตรวจสารพันธุกรรม ด้วยวิธี Real time RT-PCR ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอให้ได้ครั้งละมากๆ ในเวลาอันรวดเร็ว โดยอ้างอิงวิธีของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (US-CDC) พร้อมทั้งพัฒนาการตรวจแอนติบอดีชนิด IgM และ IgG เพื่อตรวจทารกแรกเกิดและมารดา ซึ่งสามารถตอบสนองต่ออุบัติการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในประเทศ ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมีความสำคัญ ต่อการควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจายไปในวงกว้างได้
แต่เดิมกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจแยกเชื้อไวรัสซิกา ด้วยเซลล์เพาะเลี้ยง C6 และตรวจแอนติบอดีวิธี Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจ ที่ยุ่งยากและใช้ทักษะความชำนาญสูงจึงใช้สำหรับการตรวจยืนยันเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้นจึงได้พัฒนาชุดทดสอบวิธี Immunochromatography เพื่อตรวจหาแอนติบอดี IgM และ IgG ต่อเชื้อไวรัสซิกา โดยรู้ผลภายใน 15 นาที ซึ่งชุดทดสอบนี้ ได้ดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพและได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 13485:2016 แล้ว
ต่างจังหวัดสามารถส่งตัวอย่างตรวจได้ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่ง ที่ตั้งกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามวิธีป้องกันโรคติดเชื้อไข้ซิกาที่ดีที่สุดคือประชาชนต้องป้องกันตัวเองไม่ให้ยุงกัด และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ทั้งในและนอกบ้านโดยสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ทายาป้องกันยุงกัด นอนกางมุ้ง และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่ที่มีการระบาด ของโรค ทั้งนี้หากเดินทางกลับมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด แล้วมีอาการออกผื่น มีไข้ ตาแดง ปวดข้อปวดศีรษะ โดยอาการ จะปรากฏหลังผู้ป่วยได้รับเชื้อภายใน 3-12 วัน ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีและแจ้งประวัติการเดินทางให้แพทย์ทราบด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: