หนึ่งในความรู้สึกที่คอเพลงชาวไทยมีร่วมกันน่าจะเป็นความน้อยอกน้อยใจที่ว่าทำไมประเทศเราถึงไม่มีเทศกาลดนตรีหรือ music festival ระดับอินเตอร์แบบเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาบ้าง อย่างญี่ปุ่นก็มี Summer Sonic หรือ Fuji Rock ฮ่องกงมี Clockenflap หรือถ้ามองไปเพื่อนบ้าน สิงคโปร์เขาก็มีทั้งงาน Laneway และ Neon Light
และการที่ไทยไม่มีเทศกาลดนตรีประจำปี ทำให้หลายครั้งศิลปินต่างชาติบินผ่านประเทศเราไปอย่างน่าช้ำใจ เดือดร้อนคนไทยต้องถ่อไปยังต่างแดน เสียค่าใช้จ่ายทั้งตั๋วบิน ที่พัก ตั๋วคอนเสิร์ตเป็นหลักหมื่น
อันที่จริงถ้าย้อนประวัติศาสตร์เทศกาลดนตรีของไทย ในช่วงกลางยุค 2000 ก็เคยมีงาน Bangkok 100 Rock Festival ที่จัดครั้งแรกในปี 2006 (ไลน์อัพคือ Oasis, Franz Ferdinand, Snow Patrol) แต่พอปี 2008 ที่มีไฮไลท์เป็นวง Manic Street Preachers งานก็ต้องล่มไปเพราะม็อบพันธมิตรฯ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ หรือต่อมาในปี 2013 ทาง BEC ได้จัดงาน Sonic Bang ที่มีศิลปินมากมาย อาทิ Pet Shop Boys, Placebo, Ash แต่ทว่านั่นเป็นการจัดงานเพียงครั้งเดียวแล้วก็หายสาบสูญไปเลย
ดังนั้นสองสาเหตุที่ทำให้เทศกาลดนตรีบ้านเราไม่รุ่งอาจมาจาก หนึ่ง-ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง (ลองไล่รายชื่อคอนเสิร์ตที่ล่มเพราะเหตุทางการเมืองสิ รับรองว่ายาว) และสอง-ความไม่ต่อเนื่องของการจัดงาน เมื่องานไม่ถูกจัดอย่างต่อเนื่อง เทศกาลนั้นๆ ก็ไม่เป็นที่จดจำหรือไม่สามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้ จนทำให้ไทยไม่มีเทศกาลดนตรีระดับสากลที่จะเป็นอีเวนต์ประจำชาติได้
แต่ปี 2018 เหมือนจะมีสัญญาณที่ดีขึ้น เมื่อสามผู้จัดคอนเสิร์ต Have You Heard?, Fungjai และ Seen Scene Space ได้จับมือกันจัดเทศกาลดนตรีที่ชื่อว่า ‘มหรสพ’ หรือ Maho Rasop Festival
ด้วยความเป็นเทศกาลที่จัดครั้งแรก การจะชักชวนศิลปินต่างชาติมาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างวง Interpol ที่มาร่วมเทศกาลในสิงคโปร์และฮ่องกงก็เมินบ้านเราซะงั้น (แต่อันนี้อาจเป็นปัจจัยเรื่องตารางเวลาของศิลปินด้วย)
แต่ท้ายสุดทางเทศกาลก็แสดงอภินิหารชวนวง Slowdive มาเล่นบ้านเราแบบเอ็กซ์คลูซีฟได้ สร้างความปิติยินดีน้ำตาไหลทั่วสารทิศ (แต่คิดอีกแง่หนึ่ง วงนี้เคยเล่นในเอเชียเกือบทุกประเทศแล้ว ยกเว้นไทยนี่แหละ!)
Maho Rasop Festival ครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ต้องสารภาพว่าผู้เขียนแอบกังวลใจอยู่เหมือนกันว่าจะเจอกับความไม่พร้อมหรือวุ่นวายภายในเทศกาล แต่กลับกลายเป็นว่างานโดยรวมค่อนข้างน่าประทับใจและราบรื่น ทั้งสถานที่ Live Park พระราม 9 ที่ไม่ห่างจากรถใต้ดินนัก, ห้องน้ำห้องท่าที่มีจำนวนเพียงพอ, อาหารที่หลากหลายแม้จะราคาสูงหน่อย และระบบจ่ายเงินด้วยริสต์แบนด์ตามเทรนด์ cashless society ที่สะดวกแต่แอบแสกนช้าอยู่หลายที ส่วนอากาศร้อนวิปริตไม่ถือว่าเป็นความผิดของผู้จัด (ฮา)
จุดที่ผู้เขียนชอบอีกอย่างตามประสาคนขี้เกียจคือในงานมีสามเวทีและแต่ละเวทีอยู่ไม่ห่างกันมาก (ไม่เหมือนงานใหญ่ๆ ในต่างประเทศที่บางเวทีห่างกันเป็นกิโล) แต่นั่นก็กลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้เสียงจากเวทีใหญ่เข้ามาตีกับบรรดาเวทีเล็กทั้งหลาย เรียกได้ว่าสงสารศิลปินตามเวทีเล็กกันเลยทีเดียว ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่ทางเทศกาลต้องปรับปรุงต่อไป
ในงานนี้ผู้เขียนได้ดูโชว์จากศิลปินราวๆ 8 รายด้วยกัน แต่จะขอเขียนถึงที่น่าจดจำเป็นพิเศษ เริ่มด้วย Miami Horror วงอิเล็กทรอนิกส์จากออสเตรเลียที่ขึ้นโชว์ท่ามกลางแดดเปรี้ยง แต่ก็ทำให้ผู้คนลุกขึ้นมาเต้นได้ แถมนักร้องนำยังทำซ่าปีนขึ้นหลังคาจนคนดูแอบหวาดเสียว ส่วน Oddisee หนุ่มฮิปฮอปที่คนไทยอาจจะไม่คุ้นชื่อมากนักก็สร้างความเซอร์ไพรส์ด้วยโชว์ที่สนุกสนานลูกเล่นแพรวพราว จนคนดูต่างยกนิ้วให้ว่าเป็นโชว์ที่สนุกที่สุด
แต่รายที่ผู้เขียนประทับใจเป็นอันดับหนึ่งคือ Wang Wen วงโพสต์ร็อคจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ออกอัลบั้มมาแล้วถึงสิบชุด เวลาฟังที่บ้านเพลงของพวกเขาอาจจะเนือยๆ หลับๆ แต่เวลาเล่นสดกลับเดือดดาลทำลายล้างสุดขีด โดยเฉพาะเสียงกลองที่สะเทือนเลือนลั่น กลับกันกับไฮไลท์อย่าง Slowdive วงดรีมป๊อป/ชูเกสระดับตำนานที่เรียบเรียงเพลงสำหรับการแสดงสดได้ไม่ถูกใจผู้เขียนนัก แถมซาวด์ช่วงแรกเสียงเบสก็บวมอื้ออึงอย่างน่าเสียดาย แต่ท้ายสุดระบบเสียงก็ค่อยๆ ดีขึ้น จนทำให้โชว์จบลงอย่างสวยงาม
ส่วนวงสุดท้ายปิดงานคือ The Vaccines วงอินดี้ร็อคจากอังกฤษที่เคยมาบ้านเราเมื่อปี 2013 ห้าปีผ่านไปพวกเขาก็ยังแสดงสดได้อย่างสนุกสนานเหมือนเดิม ทว่าเมื่อโชว์ดำเนินไปสักพักทางวงก็ลงจากเวทีไป สร้างความงุนงงกับคนดูอย่างยิ่ง แต่สักพักก็สังเกตได้ว่าทุกเวทีในงานถูกสั่งให้หยุดเล่นทั้งหมด คนไทยเริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนชาวต่างชาติยืนงงต่อไป ผ่านไปราว 20 นาที ในที่สุด The Vaccines ก็กลับมาแสดงอีกครั้งด้วยสปิริตที่เต็มที่ไร้อาการเหวี่ยงวีน เรียกได้ว่าได้ใจคนดูไปเต็มๆ
หากให้สรุปอย่างง่ายๆ ก็ถือว่างาน Maho Rasop Festival ‘สอบผ่าน’ และเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ทางผู้จัดประกาศยืนยันแล้วว่าปีหน้าจะมีงาน Maho Rasop แน่นอนในวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2019 ซึ่งแน่นอนว่าการขยายงานเป็นสองวันและจำนวนคนที่น่าจะมางานเยอะขึ้นทำให้ผู้จัดต้องเตรียมตัวรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่จะประเดประดังเข้ามา แต่หากทางเทศกาลยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็อาจได้รับจดจำเทียบเท่า Laneway หรือ Clockenflap
และวันที่วงรุ่นใหญ่ประเภท Radiohead หรือ My Bloody Valentine มาแสดงสดที่เมืองไทยอาจเกิดขึ้นสักวัน แม้จะดูเป็นเรื่องฝันเฟื่องพอตัวก็ตาม