คำถามจำพวกนี้มีเข้ามาทุกเทอม นักเรียนทุกรุ่น ตลอดจนมิตรสหาย นักข่าว สื่อมวลชน ถามกันมาทุกบ่อยทุกบ่อย อันที่จริงก็เขียนอธิบายไปแล้วเหยียดยาวพอสมควรตั้งแต่โต๊ะจีนตอนที่ 2-3 เมื่อนานมาแล้วพู้นนนนน...
แต่ช่วงนี้สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มันเกิดเรื่องใหญ่ที่มันโคตรจะย้อนแย้งอย่างรุนแรงมากจริงๆ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งถ้าจะไม่เอามาคุยกันสักหน่อยน่ากลัวว่าอิฉันจะอกแตกตายก่อนคนอื่น กล่าวคือ มีเหตุซุ่มทำร้ายและอุ้มหายกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยที่จัดกิจกรรมเรียกร้องสิทธิและสวัสดิภาพผู้ใช้แรงงานในประเทศจีน
มูลเหตุของเรื่องก็มีอยู่ว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้มีกลุ่มนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนหลายแห่ง ทั้งปักกิ่ง หนานจิง ฯลฯ ได้พากันตั้งกลุ่มศึกษาปรัชญาการเมืองและวัฒนธรรมมาร์กซิสต์ขึ้นมา และก็มีกิจกรรมสืบเนื่องจากการมาศึกษา ทบทวน วิเคราะห์และทำความเข้าใจในแนวคิดสังคมนิยมแบบคาร์ล มาร์กซ์ด้วยการวมตัวกันเรียกร้องสิทธิและสวัสดิภาพให้แก่กรรมกรในเขตอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะในเมืองท่าสำคัญๆ ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
อันที่จริงแล้วถ้าใครมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนแม้เพียงเล็กน้อยก็จะรู้ว่าผู้สถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วนั้นเป็นผู้มีความศรัทธาในปรัชญาการเมืองแนวสังคมนิยมแบบมาร์กซ์อย่างยิ่งยวด และในเวลาต่อมาแม้เหมา เจ๋อตงจะได้รวบอำนาจและกลายเป็นผู้นำสูงสุดของพรรคและบิดาผู้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมาแล้ว แม้เหมาจะมีแนวคิดที่ดัดแปลงแตกต่างไปจากแนวทางสังคมนิยมของมาร์กซ์อย่างมีนัยสำคัญ แต่เหมาก็อ้างอิงและแสดงความชื่นชมบูชามาร์กซ์อย่างสม่ำเสมอและถือว่าหลักการสังคมนิยมของมาร์กซ์ก็เป็นรากฐานทางความคิดที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งของพลพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เหมาอาจจะคิดต่างอยู่บ้างว่า “ชนชั้นกรรมาชีพ” ที่ควรจะเป็นผู้ผลักดันการปฏิวัติสังคมนิยมนั้นควรจะรวมถึงชาวนาชาวไร่หรือชนชั้นกรรมาชีพในภาคเกษตรด้วย ไม่ควรจะจำกัดอยู่เฉพาะกรรมกรหรือชนชั้นกรรมาชีพในภาคอุตสาหกรรมตามที่มาร์กซ์ได้ระบุไว้ แต่เหมาย่อมเห็นด้วยกับมาร์กซ์อย่างไม่ต้องสงสัยว่ากรรมกรนั้นเป็นส่วนสำคัญของการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพ กรรมกรควรต้องได้รับการพิทักษ์คุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพ และศัตรูตัวฉกาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสงครามชนชั้นอันยิ่งใหญ่นี้คือชนชั้นนายทุน ผู้ประกอบการ เจ้าของโรงงานทั้งหลายที่มีแนวโน้มกดขี่ข่มเหงผู้ใช้แรงงานตลอดเวลา จนเป็นมูลเหตุที่สำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จีนจะต้องมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสังคมนิยมและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมานั่นเอง หรือสรุปง่ายๆ ก็คือการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและสวัสดิภาพแรงงานนั้นควรจะเป็นสิ่งที่ประธานเหมาจะเห็นพ้องและสนับสนุน อันที่จริงน่าจะเป็นสิ่งที่ถือเป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานของประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนทุกคนที่เชื่อมั่นใจอุดมการณ์สังคมนิยมแบบเหมาด้วย
มาถึงตรงนี้ก็อาจจะมีนกรู้บางตัวยกมือถามว่า... อ้าวววว... ถ้างั้นทำไมกฎหมายจีนไม่อนุญาตให้มีสหภาพแรงงานล่ะ? การนัดหยุดงานก็ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ก็เพราะเหตุว่าหลังจากที่ได้ทำการปฏิวัติสังคมนิยมและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว รัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ดำเนินการโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถือเป็นเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ เพราะตามหลักแล้วพรรคคอมมิวนิสต์ย่อมเป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพในการต่อสู้กับนายทุนและศักดินาซึ่งนำโดยระบอบเก่าของเจียงไคเช็กและพรรคก๊กมินตั๋งนั่นเอง ดังนั้นในเมื่อประเทศเป็นประเทศสังคมนิยมแล้ว ปกครองโดยเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพแล้ว ตามธรรมชาติก็ไม่ควรมีการละเมิดสิทธิและสวัสดิภาพแรงงานอีก เพราะชนชั้นผู้ใช้แรงงานเป็นเจ้าของอำนาจเผด็จการอยู่แล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องมีสหภาพแรงงานเพื่อพิทักษ์สิทธิและสวัสดิภาพของกรรมกรชาวจีนอีก เพราะรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั่นแหละควรจะถือเป็นสหภาพแรงงานที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดอยู่แล้ว
แต่ว่า... โลกมันเปลี่ยนไปแล้วค่ะ ประธานเหมาตายไปนานแล้วและเติ้งเสี่ยวผิงก็ประกาศปฏิรูปและเปิดประเทศมาตั้งแต่สี่สิบปีมาแล้ว สาธารณรัฐประชาชนจีนในยุคหลังสงครามเย็นได้เข้าสู่ระบบตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ก็ไอ้ทฤษฎีแมวสีอะไรก็ได้ถ้าจับหนูได้ก็เป็นแมวที่ดีนั่นแหละค่ะ คือพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงครอบครองอำนาจเผด็จการเป็นรัฐบาลปกครองประเทศอยู่พรรคเดียวต่อไป แต่ระบบเศรษฐกิจนั้นปฏิรูปให้เข้ากับระบบตลาดของโลกหลังยุคสงครามเย็น พูดง่ายๆ แบบไม่แอ๊ปก็คือกลายเป็นทุนนิยมไปแล้วแต่ยังปกครองโดยเผด็จการอยู่นั่นเอง และที่มาของความชอบธรรมในอำนาจที่พรรคคอมมิวนิสต์ถือครองอยู่ก็คือการอ้างว่ามีแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้นที่จะสามารถปกครองประเทศให้มีความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้ดังเช่นที่เป็นอยู่มาเกือบตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา
และเมื่อต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตมากๆ ในบริบทตลาดโลกที่กลายเป็นทุนนิยมไปหมดแล้วนั้น รัฐก็ต้องหันมาพิทักษ์ปกป้องและสนับสนุนนายทุนและกดขี่ข่มเหงปิดปากกรรมกรผู้ใช้แรงงานแทน นายทุนใหญ่ทั่วโลกก็พากันย้ายฐานการผลิตไปอยู่จีนเป็นจำนวนมาก เขาว่าจีนนั้นมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสาธารณูปโภคในระดับเดียวกับประเทศโลกที่หนึ่ง แต่ค่าแรงและมาตรฐานสวัสดิภาพแรงงานยังอยู่ในระดับเดียวกับประเทศโลกที่สาม จะตีลังกาคำนวณยังไงก็กำไรเห็นๆ สำหรับเหล่านายทุนผู้ประกอบการทั้งหลาย พอเป็นอย่างงี้เมื่อมาถึงศตวรรษที่ 21 สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิและสวัสดิภาพแรงงานอย่างร้ายแรงที่สุดประเทศหนึ่งของโลกอย่างไม่น่าเชื่อ
ทีนี้เด็กนักเรียนนักศึกษาวัยละอ่อนทั้งหลายที่เห็นรูปประธานเหมาติดอยู่ที่หน้าจตุรัสเทียนอันเหมิน และเรียนประวัติศาสตร์ชาติในตำราที่รัฐบาลนั่นแหละเป็นคนรับรอง แล้วต่างก็รู้มาว่าประธานเหมานั้นต่อสู้เพื่อสิทธิและสวัสดิภาพของชนชั้นกรรมาชีพ พอเห็นความเหลื่อมล้ำและการกดขี่แรงงานที่เกิดมากขึ้นทุกวันในจีนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะออกมาแสดงพลังโดยอ้างความชอบธรรมจากคำสอนของประธานเหมาผู้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนนั่นแหละ
ทีนี้ก็ร้อนไปถึงรัฐบาลที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ถ้าจะยอมให้นักศึกษาปลุกระดมจัดตั้งกรรมกรให้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิและสวัสดิภาพของพวกเขาตามอุดมการณ์สังคมนิยมแบบเหมาแล้วก็ย่อมจะส่งผลถึงเหล่านายทุนต่างชาติที่พากันย้ายฐานการผลิตมาอยู่ที่จีนเพราะเคยมั่นใจว่าจีนไม่มีสหภาพแรงงานและไม่มีการนัดหยุดงานแน่นอนไม่ว่าจะกดขี่ข่มเหงแรงงานหรือให้ค่าจ้างต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน ทีนี้ถ้านายทุนใหญ่พากันย้ายฐานการผลิตออกจากจีนหมด (อาจจะย้ายไปลงยังเผด็จการประเทศอื่นที่จัดการกับนักสิทธิมนุษยชนและสวัสดิภาพแรงงานอย่างรุนแรงกว่านี้... มันจะมีมั้ยอ่ะ?) ก็จะทำให้จีนสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาก็อาจจะประสบสภาวะชะลอตัวหรืออาจจะถูกประเทศอื่นๆ แซงหน้าไปได้ ทั้งหมดนี้ก็จะยิ่งทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนสูญเสียความชอบธรรมที่เคยอ้างไว้เพื่อครองอำนาจเผด็จการทางการเมืองในการปกครองประเทศมายาวนานตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น
ด้วยเหตุนี้เอง นักศึกษามหาวิทยาลัยหนานจิงสองคนซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องสิทธิกรรมกรก็เลยต้องถูกกลุ่มชายชุดดำเข้ามากระทืบถึงในเขตพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา นักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งที่ร่วมกิจกรรมในทำนองเดียวกันคนหนึ่งก็ถูกซุ่มโจมตี ใช้กำลังทำร้าย และลักพาตัวหายไปจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วจนป่านนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร และผู้บริหารมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็ขู่ว่าถ้านักศึกษายังคงดึงดันที่จะปลุกระดมกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่อไปทางมหาวิทยาลัยจะบังคับปิดชมรมศึกษาปรัชญาและวัฒนธรรมมาร์กซิสต์
เออหนอ... ถ้าประธานเหมายังมีชีวิตอยู่มาจนได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ วันนี้... แกคงจะตรอมใจตายไปอีกรอบอ่ะค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าทุนนิยมจะยึดครองชนชั้นนำของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดขนาดนี้
เห็นแล้วก็อดคิดถึงเหล่าเยาวชน red guards ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้พากันไปกระทืบใครก็ตามที่แสดงความฝักใฝ่ทุนนิยมให้ตายคาตีนได้ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่า ณ วันนี้เราจะได้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของรัฐบาลฝักใฝ่ทุนนิยมของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนไม่แพ้คนหนุ่มสาวชาวเหมาอิสต์ซ้ายจัดในสมัยสงครามเย็นได้
แต่ก็นั่นแหละนะ... ไม่ใช่แต่ทุนนิยมหรอกที่ฆ่าเท่าไหร่ตายไม่หมดซักที ในวันที่ทุนนิยมเอาตัวรอดกลับมามีชัยชนะครอบงำโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จขนาดนี้ก็เป็นเหตุให้สังคมนิยมฟื้นคืนชีพขึ้นมาในกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เหมือนกัน
ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปค่ะว่าการต่อสู้แบบสลับข้างของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ที่สนับสนุนนายทุนกับนักศึกษาปัญญาชนรุ่นใหม่ของจีนที่ต่อสู้เพื่อชนชั้นกรรมาชีพ ณ วันนี้จะจบลงอย่างไร สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารค่ะ