ไม่พบผลการค้นหา
ที่เขาว่าคนไทยมั่งคั่งขึ้นจริงหรือไม่? หรือภาวะรวยกระจุกจนกระจาย กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยยุคคสช.

มั่งคั่ง ความหมาย คือ มีทรัพย์มากมาย, มีทรัพย์ล้นเหลือ, มีทรัพย์มาก.


ผมค้นมาคับ ได้ความหมายที่ท่านผู้รู้เขียนไว้ใน พจนานุกรมแปล ไทยเป็นไทย

ขอเริ่มข้อเขียนด้วยการขอบคุณสำนัก mgronline.com ที่ได้นำข่าวนี้มาเสนอในเว็บไซต์แต่เจ้าเดียว ทำให้ผมรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังจะกลายเป็น ฉลามเขียวผู้มั่งคั่ง อันหมายความว่า เป็นคนไทยผู้มีทรัพย์สินมากมายหมาศาล เช่นเดียวกับคนไทยอื่นๆ อ่านข่าวตอนแรกก็ตกใจครับ รู้ตัวทันทีว่า ลำบากแล้ว คงทำตัวลำบาก จะวางตัวยังไงดีเรา เมื่อจู่ๆก็กลายเป็นผู้มั่งคั่งซะงั้น


อ่านข่าวกันนิดนึงนะครับ ธนาคารโลกท่านว่าอย่างไร

ธนาคารโลก เผยรายงานประเทศไทยเริ่มหลุดพ้นจากความยากจน และกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่ง

ธนาคารโลก เผยรายงานประเทศไทยเริ่มหลุดพ้นจากความยากจน และกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่ง แนะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และความยากจน

นายชูเดีย แชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก และ นางสาวแคทเธอลีนา เลเดอร์ชิ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก เปิดเผยถึงรายงานแนวโน้มการเติบโตแบบมีส่วนร่วมของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในระยะยาว ชื่อ Riding the Wave : An East Asian Miracle for the 21st Century โดยในรายงานระบุว่า ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเป็นผู้นำที่แสดงวิธีให้เห็นว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วและการมีส่วนร่วมในทางเศรษฐกิจจะช่วยลดความยากจนอย่างชัดเจนได้ ซึ่งช่วยให้คนเกือบล้านคนได้หลุดพ้นจากความยากจน พร้อมกล่าวถึงโมเดลใหม่ในการสร้างการเจริญเติบโตในภูมิภาคอย่างยั่งยืน พร้อมกับลดปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ให้มีความเสมอภาคมากขึ้น


แรงงานมีฝีมือให้ 700 บาทได้ แต่ไร้ฝีมืออย่าหวัง


ในรายงานระบุว่า ประเทศไทยซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับมาเลเซีย ได้เริ่มหลุดพ้นจากความยากจน และกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่งแล้ว พร้อมเสนอ 3 แนวทางที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ คือ ให้โอกาสด้านเศรษฐกิจกับผู้มีรายได้น้อย มีระบบการดูแลด้านสังคม สาธารณสุข ประกันสังคม และการส่งเสริมการออม รวมทั้งการใช้เครื่องมือ เช่นภาษี เครื่องมือทางการเงิน มาช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ


นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. กล่าวว่า รายงานธนาคารโลกฉบับนี้เสนอโมเดลใหม่ในการแก้ปัญหาความยากจนด้วยการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการลดความเหลื่อมล้ำ โดยสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาล ซึ่งบรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ซึ่งเน้นการเติบโตอย่างทั่วถึง และลดความเหลื่อมล้ำ โดยรัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งตลอด 20 ปี ลดความยากจนได้ต่อเนื่อง จำนวนประชากรที่อยู่ใกล้เส้นความยากจน 11 ล้านคน ลดลงมาต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จนเหลือจำนวน 7 ล้านคน แต่ยังมีประชากรฐานราก ระดับล่าง ประมาณ 29 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 40 ของประชากร ต้องได้รับการดูแลด้วยการเพิ่มรายได้ ซึ่งประกอบด้วยเกษตรกร แรงงาน เอสเอ็มอี ซึ่งรัฐบาลจะใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค มาเพิ่มรายได้ และเพิ่มการจ้างงาน ขณะเดียวกัน เพิ่มหลักประกันสุขภาพให้กับประชาชน คู่ขนานกับการสนับสนุนให้ประชาชนออมเงินผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติรองรับผู้สูงอายุ


2 วันต่อมา วันเสาร์ 9 ธ.ค. 2560  เว็บไซต์รัฐบาลไทย เผยแพร่ข่าวใน http://www.thaigov.go.th/ ความว่า


นายกฯ ปลื้มดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ย.60 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สูงสุดในรอบ 33 เดือน


นายกรัฐมนตรี ปลื้มดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2560 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สูงสุดในรอบ 33 เดือน คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ชี้ธนาคารโลกยกไทยกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่ง

วันนี้ (9 พ.ย.60) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีที่ได้รับทราบรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประจำเดือน พ.ย.60 สำรวจโดย ม.หอการค้าไทย ซึ่งระบุว่า ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นทุกตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 78 จาก 76.7 เมื่อเดือน ต.ค. โดยถือว่าเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 33 เดือน


“ดัชนีที่เพิ่มขึ้นทุกตัวได้รับอานิสงส์จากมาตรการช็อปช่วยชาติ ที่หมุนเศรษฐกิจให้คึกคัก โดยเฉพาะการจับจ่ายของชนชั้นกลาง และมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งคนฐานรากได้ประโยชน์ ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยรวมถึงการส่งออกดีเกินคาด ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นดีขึ้นเป็นลำดับ”


ช็อป.jpg


ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อย และกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มประชาชนทั่วไป ซึ่งจะส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายสินค้าและบริการในช่วงสิ้นปีถึงปีใหม่คึกคัก และเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงห่วงใยและพยายามแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร และสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ให้ดีขึ้นโดยเร็ว


นอกจากนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รายงาน “แนวโน้มการเติบโตแบบมีส่วนร่วมของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในระยะยาว” ของธนาคารโลกได้ระบุว่า “ประเทศไทยได้เริ่มหลุดพ้นจากความยากจน และกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่ง” พร้อมกับเสนอ 3 แนวทางที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม คือ 1.ให้โอกาสด้านเศรษฐกิจกับผู้มีรายได้น้อย 2. มีระบบการดูแลด้านสังคม สาธารณสุข ประกันสังคม และการส่งเสริมการออม 3.การใช้มาตรการทางการเงินการคลัง เช่น มาตรการภาษี ช่วยลดปัญหาความไม่เสมอภาค ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวทางที่รัฐบาลได้ดำเนินการในปัจจุบัน และแผนที่วางไว้ในอนาคตด้วย

สำนักโฆษก


วันเดียวกัน 9 ธ.ค.2560 นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรื่องรายได้ต่อครัวเรือนประชาชนในภาคใต้ลดลง ซึ่งผมไม่ลอกข่าวมาลงนะครับ เพราะเป็นข่าวที่สื่อกระแสหลักนำไปเสนอแล้วมาก หาอ่านได้ “ไทยรัฐ” พาหัวเป็นข่าวใหญ่


สำหรับประเด็นของผมในวันนี้มี 2


1.ผมไม่เชื่อคำประกาศของธนาคารโลกชิ้นนี้ เพราะผมรู้ว่า ตัวผมเอง และพี่น้องของผมไม่มีเงิน หาเงินได้ไม่พอใช้ ไม่มีวี่แววว่าจะมั่งคั่ง และการที่ท่าน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายปรเมธี วิมลศิริ แถลงข่าว ยังมีประชากรฐานราก ระดับล่าง ประมาณ 29 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 40 ของประชากร ต้องได้รับการดูแลด้วยการเพิ่มรายได้ ผมขอเถียงว่า... มีมากกว่า 29 ล้านคน


2.อย่ารังแก “ไก่อู”

กระแสยังไม่แรง แต่ผมเห็นแล้วแว่บๆ มีการจุดประกายให้เปลี่ยนตัวโฆษกรัฐบาล ถอดไก่อู พลโทรสรรเสริญ แก้กำเนิด ออกไปซะ เพราะระยะหลังปฏิบัติการ “โอษฐภัย” บ่อยมาก โดยเฉพาะกรณี “แบมุส” แกนนำต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา สงขลา เป็นเรื่องพลาดร้ายแรงมาก ซึ่งแม้กระแสให้ถอดไก่อูยังไม่แรงแต่ผมรีบเขียนครับ กระตุกขาท่านผู้มีอำนาจเอาไว้   อย่าให้ใครมารังอกท่านโฆษกไก่อูได้   เพราะผมเห็นว่าการโม้ยังเป็นสิ่งจำเป็น ยิ่งสถานการณ์ขณะนี้บอบบาง ก็ยิ่งต้องใช้ Propaganda and Political Warfare โฆษกไก่อูท่านมีฝีมือ ซึ่งเหมาะมากบน 2 ตำแหน่งสำคัญ โฆษกรัฐบาลกับอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์


พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด

รัฐบาลของท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนายพล 2 คนนี้ก็เกินคุ้มแล้วครับ


เชิดชูรัฐบาลได้ดี


ฉลามเขียว

10 ธันวาคม 2560

ฉลามเขียว
0Article
0Video
0Blog