นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าได้กำหนดวันเวลาและสถานที่ที่จะพบกับนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือแล้ว และการพบกันครั้งนี้จะ "พิเศษมาก" อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังเปิดเผยว่านายทรัมป์จะพบกับนายมุนแจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ก่อนหน้าการพบกับนายคิม เพื่อหารือถึงผลการเจรจาระหว่างผู้นำสองเกาหลีในวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา และเตรียมพร้อมก่อนการพบกันระหว่างนายทรัมป์กับนายคิม

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการพบกันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างผู้นำสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ ว่าจะจัดขึ้นเมื่อไหร่และที่ใด แต่ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์กันว่าการเจรจาน่าจะเกิดขึ้นที่สิงคโปร์ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับทั้ง 2 คู่เจรจา และมีสถานทูตทั้ง 2 ประเทศตั้งอยู่ รวมถึงมีความพร้อมด้านการรักษาความปลอดภัยและการจัดการประชุมขนาดใหญ่ 

ภาพประวัติศาสตร์ที่นายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เดินข้ามเส้นแบ่งพรมแดนมายังเกาหลีใต้ โดยจับมือกับนายมุนแจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ก่อนการเจรจากันระหว่างผู้นำ 2 เกาหลีครั้งแรกในรอบ 11 ปี เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2018

แต่ล่าสุด นายทรัมป์กล่าวว่าเขาคิดว่าเส้นแบ่งพรมแดนระหว่าง 2 ประเทศ จะเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดในการเจรจาครั้งประวัติศาสตร์นี้ เนื่องจากหากการพูดคุยกันประสบความสำเร็จ การเฉลิมฉลองก็ควรเกิดขึ้นที่เกาหลี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ไม่ใช่ในประเทศที่สาม อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามถึงการจัดการเจรจาที่สิงคโปร์ นายทรัมป์ก็ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะมีงานใหญ่ที่นั่น

ก่อนหน้านี้ กรุงเทพฯเคยถูกจัดเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็นไปได้ที่จะเป็นสถานที่จัดการเจรจาระหว่างนายทรัมป์กับนายคิม และไทยก็เคยเป็นผู้จัดการประชุมระหว่าง 2 ประเทศมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าสหรัฐฯไม่ได้ติดต่อทางการไทยมาในเรื่องนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะเป็นสถานที่จัดการประชุมในครั้งนี้

สำหรับประเด็นที่คาดว่าจะมีการหารือกันระหว่างนายทรัมป์และนายคิม ค่อนข้างชัดเจนว่าจะเป็นเงื่อนไขในการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ โดยนายคิมอาจขอต่อรองแลกเปลี่ยนการยุติการทดลองนิงเคลียร์ กับการยกเลิกการคว่ำบาตรและความช่วยเหลือทางอาหารและมนุษยธรรม ซึ่งเป็นสัญญาที่เกาหลีเหนือกับสหรัฐฯเคยตกลงแลกเปลี่ยนกันมาแล้วในการประชุมสุดยอด 2 ครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2000 และ 2007 อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าการพูดคุยครั้งนี้ นายคิมอาจต้องการเพียงการโฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่ นั่นก็คือการได้นั่งคุยกับนายทรัมป์ในฐานะผู้เสมอกัน