ไม่พบผลการค้นหา
หนึ่งในเครือข่ายกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ โพสต์ถามหาผู้รับผิดชอบต่อกรณีที่วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกที่ต้องฉีดให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 'หมด' ไม่สามารถฉีดให้กับเด็กในรุ่นต่อไปได้ ตั้งข้อสงสัยรัฐบาลถูกบริษัทผลิตวัคซีนหลอกหรือเต็มใจให้หลอก

เฟซบุ๊กของ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอวอทช์) และกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสัดส่วนภาคประชาชน คือหนึ่งในเครือข่าย ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ โพสต์ว่าขณะนี้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและองค์การเภสัชกรรมกำลังตกที่นั่งลำบากในการวัคซีน HPV หรือวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมาฉีดให้กับเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเพิ่งประกาศเป็นวัคซีนใหม่ในบัญชียาหลักแห่งชาติเมื่อปีที่ผ่านมา และเพิ่งฉีดให้เด็กกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศได้เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น

และปรากฏว่าปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะไม่มีวัคซีนที่ว่านี้ฉีดให้กับเด็กไทยตามที่สัญญาไว้ และหลายคนคงสงสัยว่าเหตุใดเป็นเช่นนี้ เป็นเหตุสุดวิสัยหรือปัญหาการบริหารจัดการขององค์การเภสัชกรรมในฐานะผู้ได้รับมอบหมายให้จัดหาวัคซีนนี้ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข

หากจะหาความจริงต้องสรุปว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นปัญหาทางนโยบายที่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขของไทยถูกบริษัทวัคซีนหลอกหรือไม่ก็ 'เต็มใจให้หลอก' เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวมีผู้จำหน่าย 2 บริษัทและคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติทำการต่อรองราคา โดยให้บริษัทวัคซีนทั้งสองเสนอราคามาแข่งขันกันอย่างโปร่งใส ปรากฏว่าทั้งสองบริษัทเสนอราคาใกล้เคียงกัน ทำให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาว่าวัคซีนของบริษัทที่มี 4 สายพันธุ์คือป้องกันได้ทั้งมะเร็งปากมดลูกและโรคหูดหงอนไก่มีความเหมาะสมกว่าสำหรับนำมาใช้ในประเทศไทย และตรงกับแนวโน้มของโลกที่ประเทศอื่นๆ หันมาใช้วัคซีนของบริษัทนี้กันมากขึ้น 

แต่ด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบได้ หลังจากมีการประกาศเรื่องวัคซีน 4 สายพันธุ์ในบัญชียาหลักแห่งชาติได้ไม่นาน ผู้บริหารกระทรวงฯ กลับขอพิจารณาเพิ่มวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์เพิ่มเข้าไปในบัญชียาอีก โดยอ้างเหตุผลว่าบริษัทยานี้เสนอราคาใหม่ที่ถูกลงกว่าเดิม โดยตอนแรกทางคณะอนุกรรมการฯ ทักท้วงว่าไม่เหมาะสมเพราะได้เปิดให้ทั้งสองบริษัทแข่งขันกันอย่างโปร่งใสแล้ว การเปลี่ยนแปลงอาจทำให้เกิดปัญหาในอนาคต เพราะบริษัทที่แพ้ในการต่อรองราคาจะมาวิ่งเต้นเสนอราคายาหรือวัคซีนใหม่อีกเรื่อยไม่รู้จบ การต่อรองราคาที่ทำกันมาหลายปีประหยัดเงินประเทศไปหลายหมื่นล้ายจะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพราะต้องไปสู้กันหลังฉากอีก แต่ที่สุดมีการประกาศเพิ่มวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์เข้าไปจนได้

หลังจากผ่านไปหนึ่งปีจึงเกิดเรื่องเพราะวันนี้บริษัทวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ ประกาศแล้วว่าไม่สามารถจัดหาวัคซีนให้ประเทศไทยได้ คาดว่าวัคซีนที่นำมาขายในปีที่แล้วคงเป็นวัคซีนเก่าที่เหลือจากประเทศอื่นๆ ที่ยกเลิกใช้วัคซีนนี้แล้ว ประกอบกับบริษัทวัคซีนนี้ทำท่าว่าจะไม่ผลิตเพิ่มอีกต่อไปเพราะกำลังตกตลาดโลก จึงอาจเรียกว่าจะลอยแพเด็กไทยเพราะขายของเก่าหมดแล้ว 

ด้านบริษัทจำหน่ายวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ ก็ไม่สามารถหาวัคซีนให้เด็กไทยได้เช่นกัน เพราะรัฐบาลไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เพิ่มมาบอกในนาทีสุดท้ายหลังจากสิ้นหวังกับบริษัทที่ขายวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ ตอนนี้เลยต้องวิ่งหาวัคซีน เพราะหากไม่มีวัคซีนจริง จะกลายเป็นเรื่องขำระดับโลกว่าไทยฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกปีเว้นปี 

สุดท้าย กรรณิการ์ จึงตั้งข้อสังเกตว่า "งานนี้รัฐบาลไทยถูกบริษัทวัคซีนหลอกหรือเต็มใจให้หลอกก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คงไม่มีใครออกมารับผิดชอบ ทั้งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีความผิดทางกฎหมายเพราะประกาศให้วัคซีนนี้เป็นสิทธิประโยชน์แล้วแต่กลับไม่สามารถดำเนินการได้"

ที่มา : facebook/Kannikar Kijtiwatchakul