ไม่พบผลการค้นหา
ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายนพรัตน์ อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ กับพวก 4 รายและพระสุทธิพงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทย-เดนมาร์ก เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด

นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.แถลงมติ ป.ป.ช.กรณีทุจริตเงินอุดหนุนปฏิสังขรณ์วัด และเงินอุดหนุนอื่น ๆ หรือ คดีเงินทอนวัด ล็อต 3 ระบุว่า ป.ป.ช.ได้ชีมูลความผิดนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำเเหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. กับพวก ตามที่มีการกล่าวหาทุจริตเงินงบประมาณโครงการอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด ปีงบประมาณ 2556 

จากการที่นายนพรัตน์ สั่งให้นายวสวัตติ์ กิตติธีรสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.ส่วนบูรณะและพัฒนาวัดและศาสนสงเคราะห์ กองศาสนสถาน จัดทำเอกสารเพื่ออนุมัติเงินอุดหนุน และได้เสนอต่อนายเฉลิมพล มีศิลารัตน์ ผอ.กองพุทธสถาน และได้เสนอเรื่องต่อนายพนม ศรศิลป์ รอง ผอ.พศ.พิจารณาลงนามก่อนส่งเรื่องให้นายนพรัตน์ อนุมัติให้จัดสรรเงินแก่วัดพระพุทธบาทตากผ้า เพื่อโอนต่อไปให้วัดไทย-เดนมาร์กพรหมวิหาร ที่อยู่ต่างประเทศ 2 ครั้ง คือ 

จัดสรรงบฯลงวันที่วันที่ 25 ธันวาคม 2555 จำนวน 3 ล้านบาท และวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 อีก 3 ล้านบาท จากนั้นพบว่าวัดพระพุทธบาทตากผ้า โอนให้ พระสุทธิพงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทย-เดนมาร์ก เมื่อเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ 2556 รวมทั้งสิ้น 5,799,940 บาท ซึ่งผิดหลักเกณฑ์เนื่องจากงบประมาณส่วนนี้ให้เฉพาะวัดในประเทศไทยเท่านั้น

ป.ป.ช.จึงมีมติว่าทั้ง นายนพรัตน์ , นายพนม อดีตรอง ผอ.พศ.กับนายฉลิมพล อดีต ผอ.กองพุทธฯ และนายวสวัตติ์ อดีต ผอ.ส่วนบูรณะฯ มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151และมาตรา 157 ประกอบ มาตรา 83 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี 2542 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบัยบข้าราชการพลเรือน ปี 2551 มาตร��� 82 (1),(2),(3)และมาตรา 85(1),(7) ได้ส่งรายงานเ กสารทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาลงโทษทางวินัยและให้อัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญา

ส่วนพระสุทธิพงศ์ ไม่มีสถานเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตาม ป.อาญา มาตรา 147,มาตรา 151และมาตรา 157 มาตรา 123 ทับ 1 ประกอบมาตรา 86 และได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญาต่อไป 

นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังชี้มูลความผิด นายพนม กับพวกรวม 6 ราย กรณีทุจริตเงินเบิกจ่ายฯงบปี 2558 ที่จัดสรรให้วัดใน จ.ลำปาง คือ วัดวัฒนาราม, วัดอุมลอง, วัดบ้านอ้อ, วัดทุ่งต๋ำ และวัดหาดปู่ด้าย กับวัดศรีบุญนำ จ.แพร่ รวม 24 ล้านบาท ผ่านนางณัฐฐาวดี ตันตยาวิสาสุทธิ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ ประสาน และ น.ส.ประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ.กับพระศิวโรจน์ ปิยรัตน์เสรี เจ้าอาวาดวัดบ้านอ้อ จ.ลำปางในขณะนั้น ติดต่อวัดอื่นๆที่ต้องการงบฯสนับสนุนและให้โอนเงินคืนมา 70-80 เปอร์เซ็นต์ ผ่านบัญชีนางณัฐฐาวดี , บัญชีพระครูวิสุทธิวัฒนกิจและบัญชี น.ส.อุบล ดิษฐ์ด้วง ทั้ง 3 บัญชีเป็นเงื่อนไข โดยมีนายวสวัตติ์ ไปขอใช้บัญชีตามคำสั่งของ น.ส.ประนอม

ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิดนายพนม, น.ส ประนอม,นางนัฐฐาวดี ตามกฎหมายอาญาและผิดวินัยร้ายแรงเช่นเดียวกับกรณีแรก ส่วนนายศิวโรจน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านอ้อ และนางอุบล มีความผิดทางอาญา ไม่เป็นเจ้าพนักงานจึงไม่มีโทษทางวินัย 

นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังได้ข้อมูลกระทำผิดของเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ที่เรียกรับเงินจากข้าราชการ 2 ราย ที่มีเรื่องถูกกล่าวหาร้องเรียน อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช.รายละ 350,000 บาท เพื่อให้ ป.ป.ช.ยุติการไต่สวน ซึ่งได้ทราบผลดำเนินการเอาผิดผู้เกี่ยวข้องแล้วทั้งทางวินัย ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ อุดรฯ ลงโทษไล่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวออกจากราชการ เมื่อ วันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา ผลทางอาญาตามมาตรา 143 นั้น ศาลจังหวัดอุดรธานี มีคำพิพากษา วันที่ 3 สิงหาคม 2560 จำคุกเจ้าหน้าที่ดังกล่าว 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 คดีถึงที่สุดแล้ว

ทั้งนี้เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวด้วยว่า อย่าได้หลงเชื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างว่าสามารถล้มคดีใน ป.ป.ช.ได้ หากพบลักษณะดังกล่าวให้แจ้งเรื่องมาที่ ป.ป.ช.หรือพนักงานสอบสวน สำหรับคดีเงินทอนวัด ป.ป.ช.ได้ ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว 9 เรื่อง จาก 81 เรื่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริง 17 เรื่องและแสวงหาข้อเท็จจริงอีก 44 เรื่อง 

อ่านเพิ่มเติม