ไม่พบผลการค้นหา
เมื่อเกิดโศกนาฏกรรม คนมักจะวางเรื่องการเมืองลงเพื่อไว้อาลัย แต่การสังหารหมู่ในโบสถ์ยิวในเมืองพิตส์เบิร์กครั้งนี้ กลับทำให้การเมืองสหรัฐฯ ร้อนแรงขึ้น เพราะยิ่งทำให้คนหันกลับมามองการปั่นกระแสความเกลียดชังเชื้อชาติที่แพร่หลายขึ้นนับตั้งแต่ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 6 พ.ย.นี้ นอกจากจะเป็นการสู้ศึกชิงเสียงข้างมากในสภาคองเกรสแล้ว ยังถือเป็นการหยั่งเสียงว่าประชาชนชาวอเมริกันพึงพอใจกับประธานาธิบดีของตัวเองมากน้อยแค่ไหน การที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในสภาล่างและสภาสูงของสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี จนกระทั่งมีการแต่งตั้งนายเบรทท์ คาวานอห์ และทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมครองเสียงข้างมากในศาลสูงสุดอีก ทำให้การหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ยิ่งสำคัญขึ้นไปอีก

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุสังหารหมู่ในโบสถ์ยิว “ทรี ออฟ ไลฟ์” ในเมืองพิตส์เบิร์ก มลรัฐเพนซิลเวเนียของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย โดยก่อนการเปิดฉากโจมตี ผู้ก่อเหตุได้ตะโกนข้อความเกลียดชังต่อชาวยิว ถือเป็นการโจมตีชาวยิวครั้งนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ทำให้สังคมอเมริกันหันมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองที่บ่มเพาะความเกลียดชังคนต่างเชื้อชาติ และคนกลุ่มน้อยต่างๆ ของนายทรัมป์

วันเกิดเหตุ นายทรัมป์มีกำหนดไปหาเสียงที่เมืองเมอร์ฟิสโบโร มลรัฐอิลลินอยส์ และเขาเลือกที่จะไม่ยกเลิกทริปดังกล่าวเพื่อไปเมืองพิตตส์เบิร์ก ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งไม่พอใจที่เขาเห็นการหาเสียงสำคัญกว่าความตายของคนในประเทศ จนวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา นายทรัมป์และนางเมลาเนีย ทรัมป์เดินทางไปงานศพผู้เสียชีวิตที่เมืองพิตส์เบิร์ก


โดนัลด์ ทรัมป์ พิตส์เบิร์ก


การเยือนของนายทรัมป์ยิ่งทำให้คนในพื้นที่รู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้น เพราะเขาไปโดยไม่ติดต่อหรือบอกให้คนในพื้นที่รับรู้ล่วงหน้า ทุกคนได้รู้พร้อมกันเมื่อทำเนียบขาวแถลงเพียง 1 วันก่อนนายทรัมป์จะเดินทางไปเคารพศพ ทำให้นายทรัมป์ก็ถูกต้อนรับด้วยผู้ประท้วงที่มาร้องเพลงเป็นภาษาฮีบรู และถือป้ายประณามทัศนคติเหยียดเชื้อชาติของนายทรัมป์ที่เป็นเชื้อไฟให้เกิดโศกนาฏกรรมลักษณะนี้

นายโจนาธาน ซาร์นีย์ วัย 72 ปี กล่าวว่า ทรัมป์ปฏิเสธที่จะยกเลิกการหาเสียงทั้งที่เป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่เขากับมา “บุกรุก” งานศพของผู้เสียชีวิตจากเหตุสังหารหมู่ ทั้งที่เป็นเรื่องไม่เหมาะสมเลย

ก่อนที่นายทรัมป์จะไปเยือนเมืองพิตส์เบิร์ก สถานการณ์ทางการเมืองในพื้นที่ก็ตึงเครียดอย่างมา ผู้นำศาสนายูดายได้ร่วมกันเขียนจดหมายเปิดผนึก ที่มีคนร่วมลงนามหลายหมื่นคน

จดหมายดังกล่าวระบุว่า ชาวพิตส์เบิร์กไม่ต้อนรับนายทรัมป์ นอกจากว่านายทรัมป์จะประณามกลุ่ม white nationalist หรือกลุ่มชาตินิยมผิวขาว ที่เหยียดเชื้อชาติและเหยียดผิว

สำนักข่าว USA Today ระบุว่า ความยากลำบากของประธานาธิบดีทุกคน เมื่อเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในประเทศ ก็คือการทำให้คนในประเทศที่กำลังโศกเศร้ากลับมาสามัคคีกัน แต่สำหรับนายทรัมป์ การบรรเทาความเกลียดชังและความแตกแยกในประเทศเป็นภารกิจที่ทำได้ยากมาก อีกเหตุผลสำคัญก็คือ นายทรัมป์เองก็พึ่งพาการใช้วาทกรรมประเภทแบ่งเขาแบ่งเราในการหาเสียงเลือกตั้งกลางเทอมนี้ และมักโจมตีฝ่ายตรงข้างว่าเป็น “คนชั่วร้าย”

ลิซ ไมร์ นักยุทธศาสตร์ของพรรครีพับลิกันเองกล่าวว่า นายทรัมป์เคยพูดเองว่า เขาสามารถทำให้คนรู้สึกเดือดดาลได้ดีมาก แต่ไม่เก่งเรื่องการแสดงความเห็นใจ โศกเศร้าและการทำให้คนรู้สึกดีขึ้น

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นายทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขายังทำหน้าที่ “ผู้ปลอบประโลม” ได้ไม่ดีนัก และหลายครั้ง คำพูดของเขาก็ทำให้เกิดประเด็นถกเถียงใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อไปอีก เช่น หลังเกิดเหตุชายผิวขาวขับรถพุ่งชนผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวที่เมืองชาร์ลอตต์สวิลล์ มลรัฐเวอร์จิเนีย แล้วนายทรัมป์กลับประณามความรุนแรง “จากทั้งสองฝ่าย”

แม้จะเกิดเหตุสังหารหมู่ในโบสถ์ยิว แต่นายทรัมป์ก็ไม่ได้ประณามกลุ่มนีโอนาซีและกลุ่มชาตินิยมผิวขาว ในการหาเสียงเลือกตั้งรอบนี้ เขาก็ยอมรับคำที่มีความหมายในเชิงลบอย่าง “ชาตินิยม” ว่าเป็นแนวทางนโยบายต่างประเทศของเขา แม้หลายฝ่ายกังวลว่า “ความเป็นชาตินิยม” จะนำไปสู่การเหยียดผิวและเหยียดเชื้อชาติมากขึ้น

ด้านนายจอห์น เจ พิตนีย์ จูเนียร์ อาจารย์จากแคลร์มอนต์ แมคเคนนา คอลเลจ แสดงความเห็นว่า นายทรัมป์จะสามารถแสดงความเห็นใจที่จอมปลอมได้เพียงไม่นาน แล้วตัวตนที่แท้จริงของเขาก็จะเปิดเผยออกมาในไม่ช้า เช่น ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วัตถุระเบิดถูกส่งไปตามบ้านของนักการเมืองพรรคเดโมแครตและผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตกันหลายคน นายทรัมป์ก็ขอให้คนในประเทศสามัคคีกัน พร้อมประณามการแบ่งขั้วทางการเมือง แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ก็ประณามว่า การรายงานข่าวนี้ไม่ยุติธรรม และทำให้กระแสของเขาและพรรครีพับลิกันตกลงก่อนการเลือกตั้งกลางเทอม

 

 

ที่มา : USA Today, Washington Post