ไม่พบผลการค้นหา
"ขอส่งกำลังใจให้ทุกครอบครัว พ่อแม่ที่ต้องนอนร้องไห้อยู่บนเตียงและไม่รู้เลยว่าจะหลับลงได้อย่างไร"

"ผมเหนื่อยหน่ายกับเรื่องนี้เต็มที เราต้องลงมือกันได้แล้ว อย่ามาบอกผมว่าเราทำอะไรกับการฆ่าอย่างโหดร้ายแบบนี้ไม่ได้"

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวอย่างเจ็บปวดที่ทำเนียบขาวต่อเหตุกราดยิงครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่โรงเรียนประถมรอบบ์ ในวาลด์เคาน์ตี ของมลรัฐเท็กซัส เป็นเหตุให้มีเด็กๆ เสียชีวิต 18 ศพ และผู้ใหญ่อีก 1 ราย 

ไบเดนกล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้ปกครองที่ต้องสูญเสียบุตรหลาน พร้อมกล่าวว่า "ขอส่งกำลังใจให้ทุกครอบครัว พ่อแม่ที่ต้องนอนร้องไห้อยู่บนเตียงและไม่รู้เลยว่าจะหลับลงได้อย่างไร คนที่กำลังคิดว่าจะบอกกับลูกๆ ที่เหลือว่าอย่างไร และทุกๆ คนที่ยังคิดไม่ออกเลยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ... พ่อแม่ที่จะไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะกระโดดลงเตียงกอดกับลูกๆ พ่อแม่ที่จะไม่มีทางกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีก ... ขอให้พระเจ้าอยู่เคียงข้างพวกเขาด้วยเถิด"

"ในนามของความเป็นชาติ เราต้องถามกันจริงๆ ว่าเมื่อไหร่เราจึงจะลุกขึ้นสู้กับการล็อบบี้เรื่องกฎหมายการถือครองอาวุธปืนกันสักที ... เมื่อไหร่เราจะเลือกทำในสิ่งที่เรารู้ว่าสมควรทำมากที่สุดกันสักที"

ไบเดนยังระบุด้วยเสียงสั่นเครือว่า วันนี้ถือเป็นวันที่ 3,448 แล้ว หรือเป็นเวลากว่า 10 ปีหลังจากที่เขาเคยต้องไปยืนอยู่ที่โรงเรียนประถมในมลรัฐคอนเนทิคัตหลังเกิดเหตุกราดยิงซึ่งมีผู้เสียชีวิต 26 ราย และที่โรงเรียนประถมแซนดีฮูกซึ่งมีเด็กนักเรียนชั้น ป.1 เสียชีวิตมากถึง 20 ราย

"นับจากนั้นมาก็มีการรายงานเหตุความรุนแรงจากการใช้อาวุธปืนในโรงเรียนมากกว่า 900 ครั้ง และจำนวนรายงานเหตุการณ์ก็เพิ่มมากขึ้นเมื่อเรานับรวมเหตุกราดยิงที่โรงภาพยนตร์ คอนเสิร์ต ศาสนสถานต่างๆ ไปจนถึงเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อ 10 วันที่ผ่านมาในการกราดยิงที่ร้านค้าในเมืองบัฟฟาโลของนิวยอร์ก"

ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาทราบเรื่องการกราดยิงครั้งล่าสุดนี้ขณะเดินทางกลับมาจากการประชุมผู้นำ Quad ที่กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น การเดินทางด้วยเที่ยวบิน 17 ชั่วโมงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาต้องคิดพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควร ไบเดนถามตัวเองว่า "การกราดยิงแบบนี้เกิดขึ้นน้อยมากในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?"

"ในประเทศอื่นๆ ผู้คนต่างก็มีปัญหาสุขภาพจิต พวกเขาต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายในประเทศ มีผู้คนที่กำลังหลงทางในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีการกราดยิงด้วยความถี่เช่นนี้เหมือนกับสหรัฐฯ ทำไม? และทำไมเราจึงยินดีที่จะอยู่ต่อไปกับการสังหารอันโหดร้ายเช่นนี้?" ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว

เขายังระบุด้วยว่า "เมื่อไหร่เราจะมีความกล้าหาญในกระดูกสันหลังของเราสักที ที่จะลุกขึ้นยืนสู้กับกลุ่มล็อบบียิสต์(ที่สนับสนุนกฎหมายการถือครองปืน)"

ไบเดนชี้ว่าที่ผ่านมาในการเป็นทั้งวุฒิสมาชิกและรองประธานาธิบดีของเขา เขาเดินหน้าผลักดันการใช้กฎหมายควบคุมปืนที่เรียกว่า 'Common-Sense Gun Laws' ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ยอมรับว่าไม่มีทางที่สหรัฐฯ จะป้องกันทุกเหตุโศกนาฏกรรมได้ แต่มันสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้จริง

"เมื่อครั้งที่เราสามารถผ่านกฎหมายการสั่งแบนการขายอาวุธประเภทจู่โจมได้ เหตุกราดยิงลดลงจริง แต่หลังจากที่กฎหมายนั้นหมดอายุ เหตุกราดยิงก็เพิ่มขึ้น 3 เท่าทันที"

"ผู้ผลิตอาวุธปืนใช้เวลา 2 ทศวรรษในการโฆษณาขายอาวุธประเภทจู่โจมอย่างเอิกเกริกจริงจัง ซึ่งสร้างกำไรมหาศาลให้กับพวกเขา เราจะต้องมีความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นต่อกรกับอุตสาหกรรมนี้กันสักที" ไบเดนกล่าว