วันที่ 12 พ.ย. เวลา 14.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ช้ากว่ากรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง ) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท ที่สังคมมีทั้งคนเห็นด้วย เห็นต่าง และสนับสนุน ว่า ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจน และไม่อยากให้สังคม ไทย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายตรงข้าม หรือพวกเดียวกัน ไม่อยากให้มีธง อยากให้รับฟังความคิดเห็นว่าข้อดีข้อเสียคืออะไร แล้วหยิบยกมาพูดคุยกัน
ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุโครงการดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นจริง และอาจไม่ผ่านสภา ประชาชนจะไม่มีโอกาสได้รับเงินจริง เศรษฐา กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่าเสียงของผม อย่างพรรคร่วมรัฐบาลมี 320 เสียง ผมว่าเสียงของผมมั่นคง และเราทำงานเป็นทีม เชื่อว่าผ่าน”
เมื่อถามย้ำว่า คนไทยจะมีโอกาสได้ใช้เงิน 10,000บาท หรือไม่ นายกฯ กล่าวย้ำว่า มั่นใจ เป็นหน้าที่ผู้นำรัฐบาลต้องรับฟังเสียงประชาชน โครงการดีเลย์จากที่ประกาศไว้เพราะทีมงานของเราต้องรับฟังความเห็นทั้งหมด ทั้งเรื่องการออก พ.ร.บ.กำหนดเกณฑ์คนรวย การจำกัดรายได้ที่พูดคุยและถกเถียงกัน
เมื่อถามว่า โครงการนี้จะมีอุบัติเหตุที่จะทำให้สะดุดหรือไม่ เศรษฐา กล่าวว่า มั่นใจว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดี เหมาะสม และไม่เกี่ยวกับเรื่องเทคนิคหรือกฎหมาย รัฐบาลยืนยันว่าทำถูกต้องทั้งหมด และทางคณะกรรมการกฤษฎีกาคงจะให้ข้อคิดเห็นในเชิงที่เป็นบวกและเราสามารถทำโครงการนี้ได้ แต่มีจุดเดียวคือ มีคำถามว่าตอนนี้เราอยู่ในวิกฤต หรือไม่ได้อยู่ในวิกฤต มีวิกฤตและความจำเป็นที่ต้องทำหรือไม่ ถ้าบอกว่ามีวิกฤตและความจำเป็นคือเรามีจีดีพีติดลบ แบบนั้นคงไม่ต้องทำ เพราะจีดีพียังไม่ติดลบ แต่ 9-10 ปี ที่ผ่านมา จีดีพีแค่ 1.9% ต่อปี เราไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศอื่นโตกว่าเรา 2 เท่า คู่แข่งของไทยทั้งประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีการเติบโต สมัยก่อนอาจจะอยู่ในโลกของเราคนเดียวได้แต่ปัจจุบันอยู่ในโลกการแข่งขัน ถ้าไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ วันหนึ่งอาจไม่มีใครอยากมาลงทุนที่ไทย รัฐบาลเชื่อว่าเราอยู่ในวิกฤตที่ต้องการการกระตุ้น แม้คนอื่นจะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องใช้เงินขนาดนี้ กระตุ้นแค่คนจนที่มีรายต่ำจริงๆ ก็พอ หากเถียงกันไปอย่างนี้ก็ไม่จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า โหวตเตอร์พรรคเพื่อไทยบางส่วน รู้สึกผิดหวัง ที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับเงิน เนื่องจากมีเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท ทั้งที่เกิดจากวินัยการออม และมีรายรับไม่เกิน 7 หมื่นบาท เศรษฐา กล่าวว่า เข้าใจและเห็นใจแต่ต้องรับฟังทุกภาคส่วน ทั้งสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย มีความชัดเจนไม่ให้แจกคนรวย และมีการสอบถามถึงกำหนดเกณฑ์คนรวย โดยจะต้องกำหนดตัวเลขให้ชัดเมื่อถึงจุดหนึ่ง โดยคนที่มีรายได้เกิน 7 หมื่นบาท และเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท รัฐบาลได้ออกโครงการอีรีฟัน หากมีการใช้จ่ายจะได้เงินคืนประมาณ 1 หมื่นบาท เทียบเท่ากับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทีมงานคิดมาแล้ว รวมถึงโครงการระยะยาวในกองทุนส่งเสริมการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมใหม่ เป้าหมาย เช่น รถอีวี ไมโครชิพ จำนวน 1 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มใช้ในเดือนมิ.ย.2567ที่ต้องทำเร่งด่วน
เมื่อถามว่า กรณีที่ประชาชนมีข้อสงสัยว่าเงินฝาก 5 แสนบาท รวมไปถึงสลากออมสิน หุ้นกู้ กองทุนรวม และเงินเกษียณ ด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า นับเฉพาะเงินฝากอย่างเดียว ไม่นับกองทุนรวมเพราะตรวจสอบไม่ได้ ส่วนเงินเกษียณ ถ้าไปในบัญชีก็นับรวมด้วย ส่วนเงินสดที่เก็บอยู่ที่บ้านไม่นับ โดยจะเริ่มตรวจสอบว่ามีเงินในบัญชีตั้งแต่เดือนก.ย.66 ทั้งนี้เมื่อครั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เติมเงินในแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่พบว่า 15 % ไม่มีการใช้จ่ายเพราะคนไม่ได้ใช้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะมีเงินพอที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประชาชนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทย หาเงินได้ ใช้เงินเป็น นายกฯ กล่าวว่า “ ผมเป็นนายกฯที่มาจากพรรคอะไร พรรคเพื่อไทย สื่อก็บอกว่าหาเงินได้ใช้เงินเป็น ผมก็มั่นใจว่าผมหาเงินได้ใช้เงินเป็น ส่วนเรื่องที่มาของการออกจะเป็นพ.ร.บ.เงินกู้ ทางผู้ว่าธปท.ได้บอกเองว่านายกฯกู้ดีกว่า ตอนนี้จาก 61% เป็น64% เพราะเพดานเงินกู้อยู่ที่ 70% ให้กู้เลย ถ้านำมาใส่โครงการฯบวกกับโครงการอื่น และหากยกระดับจีดีพีขึ้นไป สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะลดตามไป แม้หนี้จะเพิ่มแต่ถ้าจีดีพีมากกว่าหนี้จะลดลง”
เศรษฐา กล่าวว่า จะใช้โอกาสในการเดินทางเข้าร่วมประชุมเอเปคในครั้ง จะเชิญชวนนักลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเมื่อโครงการนี้เกิดขึ้นจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ และจะขยายเป็นฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะภาคการเกษตร แต่จะมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเกิดขึ้นด้วย ซึ่งจะยกระดับรายได้ประชาชน และ เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น
ส่วนโอกาสที่จะเกิดขึ้นในการพบกับนักลงทุนในสหรัฐ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ทุกครั้งที่เดินทางต่างประเทศ ได้แจ้งความคืบหน้า และ ก็จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และ ยังเป็นโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ตัดสินใจวางอนาคต แม้โครงการยังไม่เกิดขึ้นทันที ต้องใช้เวลานาน ซึ่งเชื่อว่าคนรุ่นใหม่จะเล็งเห็นโอกาส จากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และ อาจจะตัดสินใจไม่ย้ายประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องสร้างแรงบันดาลใจ เพราะประเทศเราต้องดีขึ้น หากเรามีเขตอุตสาหกรรมที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีได้ และคนไทยมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะร่วมกันพัฒนาก็จะเป็นจุดศูนย์กลางที่จะหล่อหลอมให้สังคมดีขึ้นได้
สำหรับข้อเสนอที่จะจูงใจนักลงทุน ให้เลือกมาลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีทั้งมาตรการทางภาษี, พลังงานสะอาด,การบริหารจัดการน้ำในภาคอุตสาหกรรม ,การเป็นศูนย์กลางการบิน ,มีรถไฟความเร็วสูง ,ท่าเรือแหลมฉบังสำหรับโลจิสติกส์ และแลนด์บริดจ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นปัจจัยสำคัญให้นักลงทุนตัดสินใจ
ส่วนในมิติสังคมประเทศไทยไม่แตกแยกเท่าบางประเทศ แม้ย่อมมีความเห็นที่ไม่ตรงกันบ้าง แต่อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ นักลงทุนต่างชาติจะดูตรงนี้เป็นหลัก อีกทั้งไทยยังมีโรงเรียนและสถานพยาบาลมาตรฐานระดับโลก ซึ่งเป็นปัจจัยต่อการตัดสินใจของนักลงทุนเช่นกัน