เมื่อวันที่ 25 ก.ค. เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ถือเป็นภาวะวิกฤตที่ทุกประเทศในโลก ต้องจัดหาวัคซีน และ ยารักษา เป็นอันดับสำคัญ ถือเป็นการก้าวเท้าซ้ายขวาที่ต้องเดินไปพร้อมกัน โดยต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนให้รวดเร็ว และครอบคลุมมากที่สุด
ทั้งนี้ เมื่อความต้องการวัคซีนทั่วโลกมีสูง การจัดซื้อวัคซีนต้องใช้กระบวนการในภาวะฉุกเฉินแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) เท่านั้น ย้ำว่า เอกชนไม่สามารถจัดซื้อโดยตรงได้ แม้กระทั่งวัคซีนทางเลือก ก็ต้องให้ภาครัฐเป็นตัวกลางในการจัดซื้อ
ภาครัฐถือว่า เป็นแกนหลักในการจัดหาและบริหารวัคซีนที่ต้องคล่องตัวและโปร่งใส โดยเฉพาะในภาวะวิกฤต ประชาชนเกิดความสับสนและลังเล ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องเปิดแผนว่า รัฐจัดหาวัคซีน ตัวไหน มาเมื่อไร ใครจะได้ฉีดก่อนหลัง เพื่อให้ประชาชนสบายใจ และเกิดความเชื่อมั่น
ขณะที่มีข่าวว่าซีพีถือหุ้นซิโนแวค 15% ก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเครือโภคภัณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยในบริษัท Sino Biopharmaceutical ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในซิโนแวค เท่านั้น
ที่ผ่านมาเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้แถลงการณ์ไปแล้วหลายครั้ง ยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคของรัฐบาล แต่เมื่อยังคงมีกระแสบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิด ทำให้ซีพี ต้องออกมายืนยันอีกครั้งว่า การจัดหาวัคซีนดังกล่าว เป็นไปภายใต้การพิจารณาของรัฐบาล และเป็นการดำเนินการแบบรัฐต่อรัฐ โดย เครือซีพีไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ยืนยันตามแถลงการณ์เดิมว่า เห็นด้วยต่อการนำเข้าวัคซีนที่หลากหลาย ล่าสุดเครือซีพี ได้ใช้งบประมาณของบริษัทจัดหาวัคซีนทางเลือกซิโนฟาร์มผ่านราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มาจัดฉีดให้กับพนักงานด่านหน้า และในอนาคตหากมีการนำเข้าวัคซีนประเภท mRNA เข้ามาในประเทศไทย ซีพีก็พร้อมจัดซื้อวัคซีนประเภท mRNA วัคซีน Viral Vector และวัคซีนแบบเชื้อตาย จากผู้นำเข้าเพื่อมาเสริมให้กับพนักงานตามความมั่นใจของพนักงานเช่นเดียวกัน
แถลงดังกล่าว ลงท้ายว่า "ทั้งนี้หากพบว่า ยังมีการเจตนานำข้อมูลไปบิดเบือน และสร้างความเสียหายก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เครือเจริญโภคภัณฑ์มีความจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อไป"