ไม่พบผลการค้นหา
"อนุชา นาคาศัย" แถลงหลังข่าวสมาชิกกลุ่มสามมิตรชวดเก้าอี้รัฐมนตรี หวังนายกฯรักษาสัจจะ หวังไม่เปลี่ยนแปลงตำแหน่ง ขู่ฝ่ายตรงข้ามในพรรคถ้าไม่หยุดให้ร้าย จะแถลงข่าวฟ้องประชาชน ย้ำทำงานหนักเพื่อให้พรรคประสบความสำเร็จ

นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท พรรคพลังประชารัฐและประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคกลาง แถลงข่าวภายหลังกระแสข่าวหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ว่า ในฐานะที่เคยเป็นอดีตผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ เป็นคนไม่ชอบเด่นดัง ทำงานเพื่อส่วนรวมคือชีวิตจิตใจของตน และเป็นนักเสียสละ ทุกครั้งที่แถลงข่าวขอให้มั่นใจว่าสิ่งที่ตนพูดมาจากตัวเอง ไม่มีใครแต่งเติมให้และออกมาจากความรู้สึกจากจิตใจของตนจริง ๆ

“ผมกราบขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่จัดโผคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา และบอกกับหัวหน้าว่าจบแล้ว ห้ามเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด และโผนั้นมีชื่อผมเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผมคิดว่านายกฯ ทราบดีเรื่องการทำงานของพวกผมที่ทุ่มเททำงานหามรุ่งหามค่ำ ตั้งแต่เริ่มตั้งพรรคจนถึงวันเลือกตั้ง เพื่อหวังให้ส.ส.ทุกคนประสบความสำเร็จ และเพื่อความสำเร็จของพรรค และที่สำคัญสูงสุดคือได้นายกฯ ที่พรรคและประชาชนต้องการคือ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกรอบหนึ่ง และเราก็ทำจนประสบความสำเร็จ” นายอนุชากล่าว

นายอนุชากล่าวว่า ผลสำเร็จดังกล่าวมาจากองค์ประกอบสำคัญ 5 ข้อ ได้แก่ 1.พรรคเสนอผู้นำที่ดีในการชิงตำแหน่งนายกฯ 2.การเงินของพรรค 3.การมีบุคลากรที่ดีในการเป็นผู้สมัครส.ส. 4.มีนโยบายที่ดี มียุทธศาสตร์ที่ดีในการรณรงค์หาเสียง 5.การจัดการบริหารงานของพรรคที่ดี ซึ่งข้อ 1 กับข้อ 2 นั้น พวกตนไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้มากนัก แต่ก่อนเข้าพรรคก็คิดกันถี่ถ้วนแล้วว่าต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นายกรัฐมนตรีอีกสมัย ส่วนข้อ 3-5 พวกตนมีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินงานร่วมกับเพื่อพี่น้องและผู้บริหารในพรรคจนประสบความสำเร็จ ซึ่งสื่อมวลชนในพรรคทราบดีว่า ตนทำงานในพรรคหนักขนาดไหน แต่ไม่เคยคิดว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะสิ่งที่หวังไว้คือพรรคสามารถรวบรวมคะแนนเสียงข้างมากได้และจัดตั้งรัฐบาลได้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งสมัย และถึงวันนี้ก็ภูมิใจที่ได้ทำงานกับทุกคน

“ในพรรค ถ้าใครมีปัญหาอะไรที่ทำไม่ได้ ก็มาใช้หรือวานผม หัวหน้า เลขาฯ ผอ.พรรค ที่ชื่อณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ทราบดี แต่ตอนนี้กลับมีกระแสข่าวหนาหูว่าปรับเปลี่ยนชื่อคนเป็นรัฐมนตรี เช่น ผม นายอัครา นายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ตามข่าวว่าหลุดจากโผ หรือแม้แต่ชื่อนายสุริยะต้องถูกเปลี่ยนเก้าอี้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไปรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แต่เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผมก็ย้ำไปแล้วว่านายกฯ เคยบอกหัวหน้าพรรคไว้แล้วว่าโผไม่เปลี่ยน เพราะนายกฯ เป็นชายชาติทหาร เป็นนายกฯ ของประเทศไทย และจะเป็นผู้นำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง พวกเราจึงมั่นใจในคำพูดและเชื่อถือคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถ้าเป็นไปตามกระแสข่าวจริง ผมคงเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อพี่น้องที่ต้องหลุดโผหรือถูกเปลี่ยนตำแหน่ง” นายอนุชา 

นายอนุชา กล่าวว่า ส่วนตัวตนเอง หากจะถูกปรับออกก็ยินดี แต่ขอนายกรัฐมนตรีอย่าเปลี่ยนตำแหน่งอื่น โดยเฉพาะนายสุริยะ เพราะตนทำงานร่วมกันมานาน นายสุริยะเป็นคนที่มีคุณค่า มีความสามารถ จึงขอฝากนายกรัฐมนตรีว่าถ้านายกรัฐมนตรีใช้นายสุริยะ คิดว่าจะเป็นประโยชน์ ต่อเพื่อนร่วมงานและประชาชนมาก เพราะนายสุริยะเป็นคนเก่งจริง ๆ ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้มากมาย ถ้านายกรัฐมนตรีมีความจำเป็น ขอให้ปรับตนออกคนเดียว

นายอนุชา กล่าวว่า การนำพรรคชาติพัฒนาที่มีเพียง 3 คนมาร่วมรับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งแต่เดิมเป็นคู่แข่งทางการเมืองตอนเลือกตั้ง คิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง ที่จะมาแทนตำแหน่งของตนหรือของคนอื่นตามที่เป็นข่าว เสมือนหนึ่งว่าพวกตนไปรบจนชนะ พอกลับบ้านถูกแม่ทัพนำศัตรูที่ไปต่อสู้มาจนได้รับชชัยชนะแล้วมาตัดหัวพวกตนทิ้ง แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นความจำเป็นของนายกรัฐมนตรี 

“ผมไม่เชื่อว่านายกฯจะเคยรับปากพรรคชาติพัฒนาไว้ แต่อาจเป็นบุคคลบางกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐที่ไม่อยากให้ผมเป็นรัฐมนตรี แล้วไปเสนอนายกฯ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผมขอกราบเท้านายกฯว่าผมไม่ขอรับตำแหน่งก็ได้ แต่ผมขอให้ท่านสุริยะได้เป็นรมว.พลังงานตามที่นายกฯ เคยลั่นวาจาไว้ แล้วผมจะไปกราบแทบเท้านายกฯเลยครับ”

นายอนุชา กล่าวว่า มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มในพรรคเป็นผู้บริหารพรรคเช่นเดียวกับตน แต่คอยรังแกพวกตนอยู่ตลอดเวลา และว่า “ที่พวกคุณเรียกพวกเราว่ากลุ่มสามมิตร ทั้ง ๆที่พวกผมเป็นคนของพลังประชารัฐ เป็นลูกน้องของนายกฯเหมือนพวกคุณ และผมยังคอยรับใช้พวกคุณ ทำงานให้พวกคุณทุกเรื่องที่พวกคุณต้องการจนประสบความสำเร็จ ให้พวกคุณเสวยสุข แต่พวกคุณยังรังแกพวกผม ไปให้ร้ายโจมตีพวกผมต่อผู้ใหญ่ ใช้สื่อโจมตีพวกผม เสนอแต่เรื่องไม่ดี ไม่จริงของพวกผม ให้นายกฯ และผู้ใหญ่ที่น่านับถือฟัง จนพวกผมเป็นคนที่น่ารังเกียจ ผมคิดว่าถ้าพวกคุณรักนายกฯหรือผู้ใหญ่ที่น่านับถือจริง ก็ขอได้โปรดหยุดการกระทำเหล่านั้นนับตั้งแต่บัดนี้” 

“พวกคุณอาจลืมว่าเคยใช้อะไรผมไว้บ้าง ทิ้งอะไรไว้ที่ผมบ้าง และถ้าผมโดนรังแกจนทนไม่ได้ พวกผมจะให้พวกคุณมีข่าวดังระดับชาติเป็นแน่แท้ ผมเอาแน่ถ้ายังรังแกพวกผมอีก พวกผมจะไม่ทน และตอนนี้จะทนไม่ไหวแล้ว พวกผมทำงานให้ประเทศชาติ ไม่เคยให้ร้ายคนอื่น มีแต่จะสนับสนุน และขอเตือนด้วยความหวังดีว่ายังมีโอกาสที่เราจะทำงานร่วมกัน ภายใต้เจ้านายคนเดียวกันคือพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อเดินไปข้างหน้า ทำงานรับใช้ประชาชน นำพาพลังประชารัฐเดินไปข้างหน้า นำนโยบายดี ๆ ไปรับใช้ประชาชนให้สงบรุ่งเรือง นำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จตามที่หวัง” นายอนุชา กล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า กราบขอโทษนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างสูงด้วยความเคารพที่ลูกน้องของท่านทะเลาะเบาะแว้งกันเอง อยากให้นายกรัฐมนตรีลงมาดูแลพวกเรา ให้ความเป็นธรรม และจะไม่เสียใจสักนิดถ้านายกรัฐมนตรีและพี่น้องของตนได้ตำแหน่งภายในพรรคตามที่นายกรัฐมนตรีรับปากไว้ และว่า “ผมเป็นผู้เสียสละมาตลอดตั้งแต่สมัครเป็น ส.ส. ถ้าจะลงบัญชีรายชื่อ ก็กลัวจะไปแก่งแย่ง มาเป็น ส.ส.เขต ลงพื้นที่หาเสียงในพื้นที่ตัวเองไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็มาทำงานให้กับพรรค นายกฯ เป็นคนมีเมตตา ขอให้มีต่อนายสุริยะที่ผมเคารพนับถือ เพราะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่จะช่วยนายกฯ นำพาประเทศชาติและประชาชนไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้” นายอนุชา กล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่อยากพูด แต่เอาไว้วันหน้า โดยเฉพาะเรื่องสื่อที่ให้ร้ายโจมตีพวกตน แม้กระทั่งเจ้าของสื่อที่เป็นบุคลากรอยู่ในพรรค ซึ่งตนคงมีโอกาสได้แถลงข่าวอีกครั้งหนึ่ง เพราะคนอย่างตนไม่เคยให้ร้ายหรือให้ข่าวทำร้ายผู้ใด แต่กลับโดนทำร้ายและรังแกมาตลอด หลายเรื่องเป็นเท็จเหลือเกินที่จะรับ แต่ถ้ายังไม่หยุด ตนจะเปิดโต๊ะแถลงข่าวทุกวัน เพื่อนำข้อมูลมาให้ประชาชนและสื่อทั้งประเทศได้ทราบ ว่าเรามีผู้บริหารเป็นเจ้าของสื่อ แต่กลับมาทำร้ายคนในพรรคเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่งในสังคมไทย

ส่วนกระแสข่าวกลุ่มสามมิตรจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล นายอนุชากล่าวว่า มีบางสื่อเอาไปลงบิดเบือน ทั้งที่ไม่เป็นความจริง หลายคนเห็นว่าตนถูกกระทำ โดยทุกครั้งที่มีบางกลุ่มให้ข่าวกับสื่อ เพื่อทำให้เป็นประเด็นข่าว ดังนั้นหากใครมีอะไรก็ขอให้ถามกับตนโดยตรง ยืนยันว่านายสุริยะยังเป็นพี่ของพวกเรา ที่ต้องนำพาพรรคไปสู่ความสำเร็จ ร่วมกับนายกรัฐมนตรี ยังเชื่อมั่นว่านายสุริยะไม่ถอดใจทิ้งพวกเราไป แต่ต้องหันกลับมามองว่าต้องมาบริหารจัดการบุคลากรที่ทำงานภายในพรรคกันใหม่ จากเมื่อก่อนมองว่าพวกเราคนทำงานถูกกลุ่มบุคคลกดหัวได้ แล้วจะยังให้เขากดต่อไปหรือ ดังนั้น ต้องมาบริหารจัดการกันใหม่ภายในพรรคมากกว่า 

“อย่างที่ผมบอก มีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีกับสามมิตร ซึ่งผมพูดได้ชัดเจนว่ากลุ่มบุคคลนี้ซึ่งเป็นผู้บริหารพรรค ยังมีโอกาสกลับตัว แต่ถ้ายังไม่กลับ ผมจะทำให้ดู เกินไปแล้ว ทำกันเกินไปแล้วครับ ผมเป็นลูกผู้ชาย ผมรับรองว่าไม่ทำร้ายใครข้างหลัง ผมไม่ใส่กระโปรงไปแอบให้ร้ายใครแน่นอน ถ้าอย่างนั้นต้องไปใส่กระโปรง และเชื่อว่าผู้ใหญ่ในพรรคก็ทราบปัญหานี้ แต่อาจไม่กล้าพูด แต่คราวนี้พวกผมทนไม่ไหวแล้ว และหลังจากที่นายกฯเดินทางกลับจากต่างประเทศ หากเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าไปชี้แจง เราก็จะชี้แจงให้รับทราบถึงความเป็นไปในพรรค และเพื่อขอโอกาสและความเป็นธรรมจากนายกฯด้วย เชื่อมั่นว่านายกฯจะให้ความเป็นธรรมในการจัดโผครม.เพื่อบริหารประเทศต่อไป” นายอนุชา กล่าว

เมื่อถามย้ำว่า คนที่เป็นผู้นำระดับนายกรัฐมนตรีจะต้องรักษาสัจจะใช่หรือไม่ นายอนุชากล่าวว่า คิดว่าผู้นำทั้งโลก ไม่จำเป็นเฉพาะประเทศไทยที่ต้องรักษาคำพูด เพราะผู้นำสูงสุด ประชาชนจะต้องรับฟังข้อมูลข่าวสารหรือแม้แต่นักธุรกิจ นักลงทุน ที่ฝากความหวังไว้ และรอฟังคำพูดของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศเรื่องการบริหาร ตนจึงไม่เชื่อว่าจะเปลี่ยนโผหลังจากที่ได้พูดคุยรับปากกันมา และยังเชื่อว่านายกรัฐมนตรีรักษาสัจจะ และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงจะชี้แจงถึงเรื่องความจำเป็น เชื่อว่ายังไม่ถึงทางตันของการเมือง

นายอนุชา กล่าวถึงความรู้สึกที่มีกระแสข่าวกลุ่มสามมิตรเป็นตัวปัญหาของพรรคพลังประชารัฐ ว่า พวกเขาคิดว่าเขาเป็นคนของเจ้านายคนเดียว คิดว่าเป็นลูกน้องที่มีความสำคัญแต่ผู้เดียว กดหัวเพื่อนร่วมงานจนพวกเราไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น ดังนั้น ถ้าเมื่อก่อนให้เกียรติซึ่งกันและกัน มันคงจบไปนานแล้ว พรรคเดินไปได้ด้วยดี และเรื่องเสียงปริ่มน้ำไม่ใช่ปัญหา เพราะเชื่อมั่นว่าพวกตนบริหารเรื่องนี้ได้ แต่การบริหารภายในพรรคนั้นหนักหนากว่า

“คนเหล่านี้จิตใจไม่ปกติ ผมเตือนไว้แล้ว และผมเป็นคนที่ถ้ายอมได้ ผมก็ยอม ซึ่งเขาก็รู้ดี ก็ต้องถามว่า ผมจะโง่หรือที่เขาไปปล่อยข่าวแล้วผมจะไม่รู้ ทั้งที่รู้แต่ไม่อยากพูด เพราะยังอยากเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี แต่คราวนี้สุดกระดานแล้ว ผมถอยจนไม่มีที่จะให้ถอยแล้ว และที่มันบานปลายมาถึงทุกวันนี้ เพราะพวกคุณไม่ให้เกียรติ คนเราไม่รู้จักที่จะเป็นใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ใครก็รู้อยู่แล้วว่าเขายกให้คุณเป็นใหญ่ แต่คุณเป็นใหญ่ไม่เป็น คุณใหญ่ไม่เป็น” นายอนุชา กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง