กิ๊ก - รุ่งนภา แสงศิลป์ นักร้องเพลงลูกทุ่งอินดี้ เจ้าของเพลงดัง ‘ซางว่า’ และ เฟิร์ส – นุกูลกิจ ครุฑใหญ่ นักฟุตบอลสโมสรตราด เอฟซี สามี-ภรรยาป้ายแดง เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ ที่ จ.อุบลราชธานีเช่นกัน
ทั้งคู่ ที่เพิ่งแต่งงานและขึ้นบ้านใหม่ไปเมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา เล่าให้ ‘วอยซ์ออนไลน์’ ฟังว่า บ้านอยู่ริมแม่น้ำมูล ต.คำน้ำแซบ อ.วารินชำราบ ถูกน้ำท่วมบริเวณชั้นหนึ่งเสียหายอย่างหนักจนต้องย้ายของขึ้นไปอยู่ชั้นสอง เนื่องจากไม่คิดว่าน้ำจะมามากและเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังถมที่ดินขึ้นสูงกว่าบ้านอื่นๆ
คืนวันที่ 15 ก.ย. กลายเป็นหนึ่งในวันที่วุ่นวายที่สุดในชีวิตของ กิ๊กและเฟิร์ส
"ไปทำงานมา กว่าจะกลับมาเก็บของก็ช้า อะไรเก็บทันก็เก็บ อะไรไม่ทันก็ต้องปล่อย ตอนเก็บก็ตกใจหยิบโน่นลืมนี่ คืนนั้นที่มาถึงเก็บของทั้งคืน ไม่ได้นอน ตอนแรกก็เก็บของขึ้นไประดับหนึ่ง แต่พอน้ำขึ้นอีกก็ต้องย้ายไปขึ้นไปอีก"
เฟิร์ส เล่าต่อว่า บ้านมีสองหลัง หลังใหญ่มีสองชั้นถูกน้ำท่วมสูงครึ่งชั้นหนึ่งเกือบ 150 เซนติเมตร และหลังเล็กที่พ่ออยู่เป็นบ้านริมแม่น้ำชั้นเดียวพื้นกระเบื้องยางลายไม้ลามิเนตพังและลอยขึ้นมา รู้สึกจิตตกมาก กิ๊กเองก็เก็บของไปร้องไห้ไป เพราะบ้านหลังนี้พยายามสร้างมาตลอด ทำงานเก็บเงินมาตกแต่งต่อเติมเรื่อยๆ กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ แต่ไม่ถึงสามเดือนก็ถูกน้ำท่วมพังเสียหาย ทั้งเฟอร์นิเจอร์ ซิงค์ ตู้ บานประตู เกือบ 80% ของชั้นล่าง ประเมินค่าเกือบแสนบาท และยังไม่รวมต้นไม้ สวนหน้าบ้านที่พ่อและแม่ตั้งใจปลูกและดูแลอีก
เฟิร์สบอกว่า ตอนนั้นทุกคนพยายามปลอบและให้กำลังใจกิ๊ก เอาความเข้าใจมาคุยกันว่าเราอยู่บ้านริมแม่น้ำต้องปรับตัว ในหมู่บ้านก็เสียหายมากกว่าเรา ญาติที่น้องที่อยู่ข้างๆ บ้านท่วมถึงหลังคา
กิ๊กได้สติและปลอมใจตัวเองว่า “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราหาใหม่ก็ได้”
เธอเล่าว่า รุ่นพี่ทีี่ทำธุรกิจร้านอาหารเสียหลายกว่าเธอหลายเท่า จึงคิดได้ว่า ตอนนี้ป้องกันไม่ทันแล้ว เหลือเพียงการแก้ไขเท่านั้น หลังน้ำลดมาดูกันอีกทีว่าเสียหายตรงไหนและต้องจัดการตรงไหนบ้าง
ตลอดช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา กิ๊กและครอบครัวอยู่ในบ้านตลอด เนื่องจากเป็นห่วงและเคยชิน
"ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนอยู่บ้าน ต่อให้น้ำท่วมก็ขออยู่บ้านดีกว่า" เธอบอกอยู่ในอุบลฯ ทำไมต้องไปเช่าที่อื่น รู้สึกเหมือนไม่ได้กลับบ้านตัวเองและไม่สนิทใจ ขณะที่เฟิร์สเอง หลังซ้อมฟุตบอลหรือวันหยุดหลังแข่ง ก็อยากกลับมาบ้าน ไม่อยากกลับไปอยู่โรงแรม และไม่ต้องการความสะดวกสบายขนาดนั้น เป็นความพึงพอใจที่ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เช่น วันที่มีอยู่เห่าเข้าบ้าน หากไม่อยู่ข้างนอกก็ไม่มีทางรู้เลย ว่ากลับมาแล้วงูซ่อนอยู่ตรงไหน
“เราหาเงินสร้าง ค่อยๆ สร้างไป เราไม่มีเงินก้อนเอามาตั้งปุ๊บ แล้วสร้างให้เสร็จเลย เราไปงานมาช่วงนี้ ได้เงินก้อนนึงแล้วมาใส่ตรงนี้ บ้านเราเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ แล้วมันท่วม สิ่งของที่เราจัดให้มันครบ สมบูรณ์ เพื่อจะขึ้นบ้านใหม่และแต่งงาน แล้วมันไปหมดเลย เราต้องเริ่มใหม่เหรอ” กิ๊กตัดพ้อ
เหรียญมีสองด้าน ท่ามกลางความยากลำบาก ยังมีความสุขท่วมขึ้นมาพร้อมๆ กับน้ำ
เธอเล่าว่า ตอนเด็กๆ เคยนั่งเรือไปหาปลากับพ่อและย่ากลางแม่น้ำ กระทั่งวันที่น้ำท่วมความทรงจำเหล่านั้นจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพ่อต้องพายเรือไปส่งเราทำงาน ได้คุยหรือแลกเปลี่ยนกันในครอบครัว ท่ามกลางอุปสรรค
แม้ตอนแรกจะจิตตก แต่เมื่อปรับตัวได้ ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น “เรายังมีแรงทำอยู่ไม่เป็นไรหรอก แค่คนที่เราอยู่ด้วยไม่เป็นไร แค่นั้นก็โอเคแล้ว” เฟิร์สเล่าต่อว่า ส่วนข้าวของทุกวันนี้ก็คิดว่าล้างบ้านไปในตัว อันไหนไม่ได้ใช้ก็ทิ้งไป
“พอคิดไปก็กลายเป็นมีความสุขไปในตัว เหมือนปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ก็แฮปปี้ได้ ก็อยู่บนบ้าน มาอาบน้ำขอเขาอาบบ้าง ในแถบนั้นไม่มีใครอยู่ในบ้านได้เลย เพราะเป็นบ้านชั้นเดียวแล้วน้ำท่วมสูง แต่บ้านเราเป็นบ้านสองชั้น เราสามารถขึ้นไปอยู่ชั้นสองของเราได้ เราก็ดูแลบ้านญาติที่อยู่ข้างๆ เราได้...หนึ่งคือหนูได้กินข้าวครบพ่อแม่ลูก บางครั้ง ตอนน้ำไม่ท่วม พ่ออยู่บ้านหลังเล็ก แม่จะอยู่ข้างล่าง หนูจะอยู่ชั้นบน เวลาจะกินข้าวก็จะไม่ตรงเวลา ใครว่างตอนไหนก็กิน เวลาน้ำท่วม เธอต้องมานั่งกินด้วยกันนะ คือฉันหามาครั้งเดียวนะ...เห็นปู่กับย่านั่งเรือลำเดียวกัน เก็บของช่วยกัน คุยกันงุ้งงิ้งๆ เป็นภาพที่ตอนน้ำไม่ท่วมเราไม่ค่อยได้เห็น” กิ๊กและเฟิร์ส กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ส่วนการแจ้งเตือนจากทางการ ทั้งคู่เผยว่า สถานการณ์ตอนนั้นค่อนข้างสับสน ไม่รู้จะฟังทางไหนดี เพราะมาจากหลากหลายทาง บางแห่งบอกว่าปริมาณน้ำคงที่แล้ว อีกข่าวบอก น้ำมวลใหญ่กำลังจะมา แต่กลับไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่า จะมามากน้อยหรือรวดเร็วแค่ไหน หรือประชาชนต้องรับมืออย่างไร
แม้พ่อของกิ๊กจะเตรียมแผนการรับมืิอไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ทัน เช่น แพจากถังน้ำเพื่อขนของ ที่ยังทำไม่แข็งแรงพอ จนแพคว่ำของก็ลอยน้ำไปจำนวนหนึ่ง
กิ๊ก คิดว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเธอและภาครัฐ อันดับแรกคือการเตรียมการรับมือ สอง ภาครัฐควรมีเครื่องมือสำหรับการจัดการน้ำที่เพียงพอสำหรับจังหวัดที่อยู่ติดกับน้ำ เช่น เครื่องผลักดันน้ำ เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เครื่องผลักดันน้ำมาช้าและมีน้อย ควรมีงบประมาณที่สำรองไว้สำหรับเรื่องการป้องกัน
"เราป้องกันตรงนี้ดีกว่าที่จะไปซื้อข้าวของยังชีพไหม อันนั้นมันปลายเหตุ อันนั้นมันคือการแก้ไขแล้ว แต่เราควรป้องกันก่อน ถ้าเรามีงบประมาณที่ทำได้ก่อนที่น้ำท่วม เราก็จะไม่มีผู้ประสบภัยเลย น้ำก็จะเป็นไปตามกลไกของเขา ไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ เราก็ควรรู้ คือไม่มีใครอยากได้ของบริจาคหรอก มีแต่คนที่ไม่อยากน้ำท่วม" กิ๊กและเฟิร์ส กล่าว
เฟิร์ส กล่าวว่า ต้องการชีวิตปกติ ไม่ต้องการของบริจาคหรืออะไร เพราะหากินได้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน กิ๊กเล่าต่อว่า แฟนคลับหลายคนก็แสดงความเป็นห่วงมา อยากช่วยเหลือ แต่ก็บอกต่อไปว่ายังพอดูแลตัวเองได้ อยากให้ช่วยเหลือคนที่เสียหายหนักกว่า
ขณะที่สถานการณ์ตอนนี้น้ำค่อยๆ ลดลงแล้ว พ่อก็จะทำความสะอาดไปเรื่อยๆ กว่าจะใช้ไฟฟ้าได้ ใช้น้ำได้ กว่าจะสูบน้ำขึ้นมา ก็คงต้องน้ำแห้งจริงๆ ตอนนี้ก็เลยทำความสะอาดด้วยระหว่างน้ำลด แต่สิ่งที่กลัวที่สุดคือกลัวบ้านทรุด ตลิ่งทรุด เพราะสีบ้านยังทาใหม่ได้ แต่ถ้าทรุดคงจะแย่กว่านี้
ตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากภาครัฐเพื่อรับเงินเยียวยา แต่ก็เก็บภาพเพื่อเป็นหลักฐานไว้ แม้เงินที่จะได้ไม่เพียงพอที่จะซ่อมบ้าน แต่มันก็ยังพอช่วยได้ ส่วนตัวกังวลกับบ้านอื่นๆ ที่โดนหนักกว่าบ้านของตัวเองจะทำอย่างไร ถ้าได้เงินเยียวยาก็จะมีประโยชน์ในการเช่าบ้านอยู่ระหว่างที่ซ่อมแซมบ้านจนกว่าจะเข้าไปอยู่ได้
ทั้งนี้กิ๊กและเฟิร์สรู้สึกขอบคุณน้ำใจคนไทยที่ไม่ทิ้งกัน แม้ยังไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐว่าจะช่วยเหลือเท่าไหร่ แต่ก็รอดูความช่วยเหลืออยู่ และระหว่างนี้เราก็ต้องดูแลกันเองไปก่อน
"บางคนบอกว่าบ้านเหมือนน้ำไม่ท่วมเลย ทำตัวเหมือนคนที่บ้านน้ำไม่ท่วม แต่จะทำให้ทุกข์ไปทำไม มันไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เหมือนบ้านอยู่บนเขาในทะเล" กิ๊กและเฟิร์ส พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและมีกำลังใจ