ไม่พบผลการค้นหา
ซีพี เปิดสายการผลิตหน้ากากอนามัย พร้อมส่งมอบล็อตแรก 1 แสนชิ้นให้รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ ส่งต่อโรงพยาบาลทั่วประเทศ เหลือจากนั้นแจกประชาชนฟรี ตั้งเป้าผลิตวันละ 1 แสนชิ้น

เมื่อวานนี้ (16 เม.ย.2563) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วย ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ศ.นพ.วิชัย เบญจชลมาศ ผู้อำนวยการศูนย์โรคหัวใจ รพ.จุฬาฯ นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือฯ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือฯ พร้อมคณะแพทย์ รพ.จุฬาฯ และผู้บริหารเครือซีพี เข้าเยี่ยมชม "โรงงานซีพีหน้ากากอนามัยฟรีเพื่อคนไทย" ที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเปิดสายการผลิตหน้ากากอนามัยเป็นวันแรก รวมทั้งเครือซีพีได้ทำการส่งมอบหน้ากากอนามัยจำนวน 100,000 ชิ้นแรก ให้กับ รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ

SCM2020_04_16_3.jpg


ตั้งเป้าผลิตหน้ากากอนามัยวันละ 1 แสนชิ้น

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีและมีความสุขมากที่เครือซีพีสามารถสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกฟรีให้แก่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ตลอดจนประชาชนได้ภายในเวลา 5 สัปดาห์ ซีพีเห็นความสำคัญว่าสถานการณ์ขณะนี้ต้องเร่งปกป้องแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้มีพลังที่จะปกป้องประชาชน ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ต้องผลิตหน้ากากอนามัยแจกจ่ายให้กับทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ สภากาชาดไทย จะเป็นองค์กรดูแลแจกจ่ายหน้ากากอนามัยส่งต่อไปยังทุกโรงพยาบาลในประเทศ และส่วนที่เหลือจึงแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไปฟรี โดยกำลังการผลิตปัจจุบันตั้งเป้าคือวันละ 1 แสนชิ้น หรือ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยเป็นโรงงานอัตโนมัติใช้ผู้ควบคุมในโรงงานเพียง 3 คน เพื่อให้เป็นโรงงานที่ปลอดเชื้อโรคสูงสุด สามารถผลิตได้ 24 ชั่วโมง

ประธานอาวุโสเครือซีพี กล่าวว่า เครือฯดำเนินการสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยบนพื้นฐานค่านิยม 3 ประโยชน์ที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนส่วนรวมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในภาวะที่ประเทศเผชิญวิกฤตหากมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้แพทย์และโรงพยาบาลต่างๆ ต้องรับภาระสูงสุด ดังนั้นซีพีเห็นว่าหน้ากากอนามัยถือเป็นอุปกรณ์ป้องกันสำคัญในวิกฤตนี้ไม่ให้เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดลุกลามจนโรงพยาบาลต้องรับภาระหนัก

“แพทย์พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์คนกลุ่มนี้ปฏิบัติงานเสี่ยงชีวิตไม่ต่างกับทหารที่อยู่หน้าสนามรบเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทเอาชีวิตมาเสี่ยง ผมยกย่องและประทับใจมาก วันนี้ถือเป็นหน้าที่คนไทยที่ต้องช่วยกันอยู่บ้าน ไม่จำเป็นอย่าออกมาให้มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มภาระให้กับโรงพยาบาลและแพทย์ วิธีอยู่บ้านไม่ออกจากบ้านแพร่เชื้อเป็นวิธีที่จะทำให้ประเทศฟื้นเร็วที่สุด ในวิกฤตอย่างนี้ต้องช่วยกัน อย่าทำให้โรคนี้กระจายออกไปมากขึ้น เป็นการช่วยชาติรัฐบาลและโรงพยาบาล” นายธนินท์ กล่าว

SCM2020_04_16_2.jpg


ยืนยันจะไม่มีการเลิกจ้างพนักงานแม้แต่คนเดียว

นายธนินท์ ยังได้กล่าวถึงการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ว่า ในสถานการณ์นี้เครือซีพีประกาศว่าซีพีในทุกประเทศทั่วโลกจะไม่มีการเลิกจ้างพนักงานออกแม้แต่คนเดียว จะดูแลพนักงานของซีพีให้ดีที่สุดไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อช่วยปกป้องพนักงานไม่ให้เข้าไปเผชิญความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมีการใช้มาตรการทำงานที่บ้านโดยยังจ่ายเงินเดือนและรายได้เช่นเดิม ซึ่งซีพีให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานมากเพราะการรักษาคนของซีพีก็เท่ากับบริษัทรักษาพลังของบริษัทไว้คู่กันเพื่อเตรียมพร้อมเดินหน้าหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลายเพราะเมื่อถึงเวลานั้นประเทศต้องเดินหน้าต่อได้ทันทีเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวภาคแรงงานและกำลังคนของซีพีก็จะเดินหน้าได้ทันทีเป็นการเตรียมพร้อมในเวลานี้ของซีพีหลังวิกฤตจบลงซึ่งซีพีใช้แนวทางนี้จนประสบความสำเร็จมาแล้วในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดหนักที่เมืองอู่ฮั่นในจีน

แนะเตรียมแผนเชิงรุกฟื้นท่องเที่ยว-ส่งออกหลังจบโควิด-19

สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 นายธนินท์มีความเห็นว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้แตกต่างกับวิกฤตเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ผ่านมา ไม่เหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งแต่ครั้งนี้เป็นวิกฤตระดับโลกเกิดขึ้นกะทันหันทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักลง ผู้คนต้องกักตัวในที่อยู่อาศัยเพื่อเลี่ยงการแพร่เชื้อโรค สำหรับประเทศไทยส่งผลให้ธุรกิจสำคัญอย่างภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีผลกระทบทั้งระบบซึ่งประเทศไทยพึ่งพารายได้ด้านการท่องเที่ยวมหาศาล ดังนั้นในช่วงวิกฤตจากโควิด-19 ที่ยังมีอยู่นี้จึงเสนอให้เตรียมแผนเชิงรุกด้านการท่องเที่ยวและส่งออกไว้เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสะสมพลังไว้และขอให้ภาคเอกชนและธุรกิจต่างๆ เตรียมพร้อมด้านกำลังคนและภาคแรงงานไว้

“หากสามารถที่จะช่วยเหลือไม่เลิกจ้างแรงงาน ทำให้ผู้คนยังมีกำลังจับจ่ายภายในประเทศได้จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะวันนี้เมื่อมืดที่สุดก็จะสว่าง ไม่มีวันที่จะมืดไปตลอดกาล ดังนั้นเมื่อสว่างแล้วจะต้องเตรียมตัวทำอย่างไรเช่นเดียวกับที่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะเป็นโอกาสของประเทศไทยอย่างมากเพราะหลังวิกฤตแล้วมีโอกาสแน่นอน” นายธนินท์ กล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :