ในวันพุธ (17 ก.ค.) เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ นิกเกอิ เอเชียน รีวิว เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์พิเศษของ พล.��.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้ยึดอำนาจจากรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตรเมื่อปี 2549 โดย พล.อ.สนธิยืนยันว่า การรัฐประหารยังเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับเมืองไทย เพื่อแก้ไขระบอบประชาธิปไตยที่ยังมีข้อบกพร่องของประเทศ
อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ในนาม “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” (คมช.) กล่าวว่า เมืองไทยมีคนยากจนจำนวนมาก คนรวยมักเอาเปรียบคนจน นักการเมืองซึ่งเข้ามามีอำนาจด้วยการทุ่มเงิน พยายามถอนทุนคืน ทำให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก เอาคนใกล้ชิดเข้ามาร่วมรัฐบาล ผลก็คือ คนที่ขาดคุณสมบัติสามารถเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ทำให้การบริหารขาดประสิทธิภาพ และเกิดการคอร์รัปชัน
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เมื่อปี 2549 บ้านเมืองเกิดความแตกแยก ฝ่ายหนึ่งนิยมนายทักษิณ อีกฝ่ายหนึ่งต่อต้านนายทักษิณ ประชาชนร้องขอให้ทหารเข้าแทรกแซง การยึดอำนาจจะทำไม่ได้หากประชาชนไม่สนับสนุน
กองทัพของไทยมีหน้าที่ 4 อย่าง คือ ปกป้องประเทศชาติ รักษาความสงบในสังคม ให้การช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ และปกป้องราชบัลลังก์ เวลานี้ พวกฝ่ายซ้ายมีอยู่มากมาย คนพวกนี้ไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่คนจำนวนมากยังคงต้องการประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทหารมองว่า ประชาธิปไตยไทยต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ดังนั้น ทหารจึงยึดอำนาจเพื่อปกป้องสถาบัน
อดีตผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า “พวกฝ่ายซ้ายหาเสียงในหมู่คนยากจนและไร้การศึกษา ซึ่งรัฐบาลในอดีตไม่ค่อยได้ดูแลประชาชนกลุ่มนี้ รัฐบาลชุดใหม่ต้องดูแลคนยากจน และต้องช่วยให้คนยากจนมีกินมีใช้ เครื่องมือที่จะช่วยให้ประชาชนหายจน ก็คือ การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อราษฎร์บังหลวง”
พล.อ.สนธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้ารัฐบาลในอนาคตไม่สามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชันหรือปัญหาความแตกแยกได้ ถ้าประชาชนไม่มีความสุข และต้องการการเปลี่ยนแปลง การรัฐประหารอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง