ป่าแอมะซอนเป็นป่าฝนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดใหญ่กว่า 5.5 ล้านตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าพื้นที่ประเทศไทยกว่า 11 เท่า ดังนั้น ป่าแอมะซอนจึงสำคัญต่อ “สุขภาพ” ของทั้งโลก ต้นไม้ในป่าแอมะซอนผลิตออกซิเจนออกมาถึงร้อยละ 20 ของทั้งโลก และปล่อยไอน้ำขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมหาศาล ป่าแอมะซอนยังดูดก๊าซคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย
ขณะนี้ ไฟป่ากำลังลุกลามป่าแอมะซอนมีมากกว่า 2,500 จุด แล้ววิกฤตไฟป่าก็รุนแรงมากจนควันไฟปกคลุมไปทั่วบราซิล แต่ไม่ได้มีแค่ป่าสำคัญ อย่างป่าแอมะซอนเท่านั้นที่กำลังถูกคุกคาม องค์กร Rainforest Alliance ระบุว่า ที่ผ่านมา พื้นที่ป่าของโลกหายไปแล้วเกือบครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่มนุษย์เริ่มทำเกษตรกรรม และทุกปีก็มีป่าไม้ถูกทำลายเพิ่มขึ้นประมาณ 130,000 ตารางกิโลเมตร (ราว 81 ล้านไร่)
ไนเจล ไซเซอร์ นักนิเวศวิทยาป่าฝนเขตร้อนและหัวหน้าเจ้าหน้าที่องค์กร Rainforest Alliance กล่าวกับสำนักข่าว CNN ว่า การขยายพื้นที่เกษตรกรรมเป็นสาเหตุหลักของการทำลายป่าฝนเขตร้อนทั่วโลก คิดเป็นร้อยละ 80 - 90 ของจำนวนพื้นที่ป่าที่หายไป โดยบราซิลมีทั้งการทำปศุสัตว์ การปลูกถั่ว และตัดไม้ขาย
Rainforest Alliance กล่าวว่า หากมีการจัดการที่ดีจะช่วยชะลอการนำพื้นที่ป่าไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เกษตรกรรมด้วยวิธีที่ยั่งยืนขึ้น เพราะจากการวิเคราะห์และข้อมูลภาพดาวเทียมแสดงให้เห็นว่ามีที่ดินที่ถูกถางไปมากแล้ว หลายจุดถูกทิ้งร้างหรือไม่มีการจัดสรรที่ดินที่ดีพอ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถางป่าเพิ่มในบราซิลแล้ว
ประมาณร้อยละ 20 ของป่าแอมะซอนได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ไซเซอร์กล่าวว่า มีการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์ว่า หากเราทำลายป่าแอมะซอนมากกว่าร้อยละ 30 - 40 ป่าฝนเขตร้อนแห่งนี้จะเริ่มแห้งเหือด และจะผ่านจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจย้อนกลับมาได้อีกแล้ว
ป่าแอมะซอนเปรียบเหมือนกับปอดของโลก มีพื้นที่คิดเป็น 1 ใน 3 ของป่าฝนที่ยังเหลืออยู่บนโลก แต่ป่าแอมะซอนกำลังจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งเราเรียนรู้เกี่ยวกับวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ เรายิ่งช่วยได้มากขึ้น
ไฟป่าเป็นผลกระทบโดยตรงจากการทำลายป่าที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากเพื่อไปทำเกษตรกรรมและฟาร์มเลี้ยงสัตว์ แม้ไฟป่าที่เกิดจากธรรมชาติจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในช่วงเวลานี้ของปี แต่จำนวนและขนาดของไฟป่าในช่วงเดือนที่ผ่านมารุนแรงกว่าอดีตมาก
สำนักข่าว The Independent เคยรายงานว่า นักวิจัยเคยตีพิมพ์ผลวิจัยลงในนิตยสารวิชาการ Proceedings of the National Academy of Sciences ว่า ป่าแอมะซอนเผชิญวิกฤตไฟป่าที่เกิดจากความแห้งแล้ง สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และการทำลายป่า และเมื่อมีไฟป่าเกิดขึ้นบ่อยๆ และใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของป่าแอมะซอนไป จนอาจทำให้ป่าแอมะซอนกลายเป็นทะเลทรายได้
เราสามารถช่วยฟื้นฟูป่าบางส่วนด้วยการบริจาคเงินไปให้องค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น Rainforest Trust จะมีตัวเลือกให้คุณเลือกได้ด้วยว่าจะบริจาคเงินไปที่โครงการไหนโดยเฉพาะ สามารถช่วย “ซื้อ” ผืนป่าเพื่อปกป้องพื้นที่ป่าได้ ส่วน Rainforest Alliance จะนำเงินบริจาคทั้งหมดของเราไปหยุดยั้งการทำลายป่าในบราซิลขณะนี้ โดยพวกเขากำลังร่วมมือกับคนในพื้นที่ในการต่อสู้กับไฟป่า ขณะเดียวกัน Rainforest Alliance ยังพยายามปรับเปลี่ยนให้ปศุสัตว์และการทำฟาร์มในบราซิลมีประสิทธิภาพขึ้น
ด้านมูลนิธิ Arbor Day ก็มีโครงการรักษาป่าฝนเขตร้อนต่างๆ ที่เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์กว่าร้อยละ 50 ของโลก และ Rainforest Action Network ก็มีโครงการ Protect-an-Acre ด้วยการให้ทุนชุมชน องค์กรนำโดยคนกลุ่มน้อย และพันธมิตรต่างๆ มากกว่า 150 องค์กรทั่วโลกในการรักษาผืนป่า ขณะที่ Amazon Watch เป็นองค์กรของคนพื้นเมืองในบราซิลที่พยายามปกป้องป่าแอมะซอน หรือจะช่วยเหลือโครงการศิลปะและวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับป่าแอมะซอนได้ผ่าน Amazon Aid Foundation
นอกจากการบริจาคเงินแล้ว เรายังสามารถส่งเสียงไปยังรัฐบาลต่างๆ ด้วยการร่วมลงชื่อเรียกร้องให้มีการปกป้องผืนป่า โดยกรีนพีซเปิดให้ร่วมลงชื่อเพื่อเรียกร้องรัฐบาลบราซิลให้ปกป้องพื้นที่ป่า ยุติการไล่ที่คนพื้นเมือง ส่วนองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF เรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษยกวิกฤตที่ป่าแอมะซอนขึ้นมาเป็นวาระเร่งด่วนของการะประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ประเทศ หรือ จี 7
หากเราอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิกฤตป่าฝนเขตร้อนในภาพใหญ่ได้ ก็ควรจะร่วมกันแก้ไขวิกฤตนี้ โดยสำนักข่าว Foreign Policy ระบุว่า หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงลังที่สุดในการปกป้องแอมะซอนก็คือ การร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจ ไม่ใช่ต่อต้านกลุ่มธุรกิจ วิธีการนี้ค่อนข้างได้ผลดีกับอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ เพราะผู้ผลิตเนื้อในบราซิลร่วมมือกับบริษัทนานาชาติ เพื่อให้บริษัทได้ “มาตรฐานศูนย์คาร์บอน” และหันมาใส่ใจเสียงเรียกร้องของสาธารณะมากกว่าเสียงของรัฐบาล ข้อตกลงการค้า การกระจายสินค้าและการเงินที่ต้องพึ่งพาการปกป้องป่าฝนและความยั่งยืนจะช่วยโลกได้ รวมถึงชาวบราซิลที่ต้องพึ่งพาป่าแอมะซอนในการดำรงชีวิตด้วย
สินค้าที่มีตราประทับว่า Rainforest Alliance Certified™ มาจากฟาร์มที่ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าได้มาตรฐานด้านความยั่งยืน โดยปัจจุบันมีสินค้าหลายพันประเภทที่ได้รับตราประทับนี้ ตั้งแต่กาแฟ โกโก้ กล้วย
เราสามารถพยายามลดการใช้กระดาษและสินค้าจากไม้ หรือหากเราต้องการซื้อสินค้าที่ทำจากไม้เขตป่าฝน ก็ให้ดูตราประทับของ Forest Stewardship Council (FSC) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีระบบการรับรองหลักในการตรวจสอบสินค้าที่มาจากป่าและกระดาษต่างๆ FSC จะตรวจสอบอย่างละเอียดว่าไม้เหล่านั้นไม่ได้เป็นผลผลิตมาจากการตัดไม้อย่างผิดกฎหมายและการทำลายป่า เรายังสามารถบริจาคเงินสนับสนุนให้ FSC ได้ด้วย
ขณะที่พื้นที่ป่าจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ก๊าซคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เราสามารถปล่อยก๊าซเหล่านั้นให้น้อยลงได้ ไซเซอร์แนะนำให้ขับรถให้น้อยลง ใช้รถยนต์ประหยัดน้ำมัน ปรับอุณหภูมิห้องให้สูงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย จะช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น
หากคุณต้องเดินทางโดยเครื่องบินบ่อยๆ คุณอาจชดเชยด้วยการบริจาคเงินให้องค์กรที่จะไปปลูกต้นไม้ เพื่อดูดซับคาร์บอนที่คุณปล่อยไปจากการนั่งเครื่องบิน อีกทั้งยังควรลดการกินเนื้อ โดยเนื้อวัวในฟาร์มแถบป่าฝนเขตร้อนมักพบเห็นได้ทั่วไปในแฮมเบอร์เกอร์ในร้านฟาสต์ฟู้ดหรือในผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูป