“เราได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเรายังคงมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ ISIS ทั่วทั้งภูมิภาค” ไมเคิล คูริลลา ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารสหรัฐฯ กลาง (CENTCOM) กล่าวโดยใช้ชื่อตัวย่อ ISIS ซึ่งหมายถึงกลุ่มติดอาวุธ ISIL “ISIS ยังคงเป็นภัยคุกคาม ไม่เพียงแต่ในภูมิภาคนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อประเทศอื่นๆ ด้วย”
จากข้อมูลของ CENTCOM ระบุว่า ไม่มีพลเรือนเสียชีวิตจากปฏิบัติการการโจมตีในครั้งนี้ แต่กองกำลังพันธมิตรกำลัง “ประเมินรายงานการบาดเจ็บของพลเรือน” แถลงการณ์ยังระบุอีกว่า โดรนสหรัฐฯ ที่นำมาใช้ในการโจมตีในครั้งนี้ ถูกเครื่องบินรบรัสเซียก่อกวนเมื่อช่วงเช้าวันปฏิบัติการ
CENTCOM ระบุว่า การโจมตีเมื่อวันศุกร์ “ดำเนินการโดย (โดรน) MQ-9 แบบเดียวกับที่… ถูกก่อกวนโดยเครื่องบินรัสเซียในการเผชิญหน้าที่กินเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง” โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดี (6 ก.ค.) จากรายงานของผู้บัญชาการสหรัฐฯ กล่าวในเวลานั้นว่า โดรนของสหรัฐฯ ที่เข้าร่วมปฏิบัติการต่อต้านกลุ่ม ISIL ในซีเรีย ถูกเครื่องบินทหารรัสเซียก่อกวนเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 24 ชั่วโมง
อเล็กซัส กรินเควิช จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ กล่าวว่า เครื่องบินลำดังกล่าวของรัสเซีย “ปล่อยแสงไฟแฟลร์ใส่หน้าโดรน และบินเข้าใกล้อย่างอันตราย ก่อการคุกคามต่อความปลอดภัยของเครื่องบินทุกลำที่เกี่ยวข้อง”
ในอีกเหตุการณ์หนึ่งที่แยกจากกันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (5 ก.ค.) มีรายงานว่า เครื่องบินไอพ่นของรัสเซีย 3 ลำ ทิ้งชูชีพไฟแฟลร์ต่อหน้าโดรนของสหรัฐฯ บีบบังคับให้สหรัฐฯ ต้องควบคุมโดรนเพื่อหลบเลี่ยงไฟแฟลร์ของรัสเซีย ทั้งนี้ กรินเควิชเรียกร้องให้รัสเซีย “หยุดพฤติกรรมอันประมาทเลินเล่อนี้”
ทางการสหรัฐฯ ระบุว่า เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ดังกล่าวในวันพุธและพฤหัสบดี ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินรบของรัสเซียและโดรนรีเปอร์ของสหรัฐฯ ถูกบันทึกไว้ในวิดีโอเอาไว้ได้
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งสองชาติมีข้อพิพาททางการทูตที่ปะทุขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อสหรัฐฯ อ้างว่าเครื่องบินไอพ่นของรัสเซียมีส่วนทำให้โดรนรีเปอร์ตกในปฏิบัติการเหนือทะเลดำ ทั้งนี้ โดรนดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) และเต็มไปด้วยเทคโนโลยีสอดแนมที่ละเอียดอ่อนของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ทางการรัสเซียปฏิเสธว่า เครื่องบินรบของพวกเขาไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อโดรนสหรัฐฯ ที่ตกลงสู่ทะเลในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ภาพที่เผยแพร่โดยกองทัพสหรัฐฯ เผยให้เห็นถึงเครื่องบินรัสเซียซึ่งทำการซ้อมรบ เพื่อขัดขวางเส้นทางการบินของโดรนของพวกเขา
รัสเซียเป็นพันธมิตรสำคัญของระบอบการปกครองซีเรีย โดย บาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย ด้วยการสนับสนุนของรัสเซียและอิหร่าน ทั้งนี้ อัสซาดได้ยึดคืนพื้นที่ส่วนใหญ่ที่สูญเสียไปในช่วงแรกของความขัดแย้งซีเรียที่ปะทุขึ้นในปี 2554 โดยรัฐบาลซีเรียได้ปราบปรามการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างไร้ความปราณี ในขณะที่กองกำลังติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลอัสซาดกลุ่มสุดท้าย ยังคงครองพื้นที่ขนาดใหญ่ในจังหวัดอิดลิบ
สหรัฐฯ มีกองทหารประมาณ 1,000 นายประจำการอยู่ในซีเรีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับนานาชาติในการต่อสู้กับกลุ่ม ISIL กลุ่มก่อการร้ายที่ประสบกับความพ่ายแพ้ในซีเรียลงเมื่อปี 2562 แต่ ISIL ยังคงมีที่หลบซ่อนในพื้นที่ทะเลทรายห่างไกล และดำเนินปฏิบัติการโจมตีอยู่บ่อยครั้ง
ที่มา: