ไม่พบผลการค้นหา
‘ชัยชนะ’ เตือน ‘ธนาธร’ อย่าเอาความผิดพลาดส่วนตัวมาเป็นความเดือดร้อนของประเทศชาติและประชาชน - ราเมศ ย้ำทุกฝ่ายควรยึดหลัก ความสงบ อย่ามุ่งเอาชนะคะคานกัน

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เชิญชวนประชาชนให้ออกมาชุมนุม เพื่อทวงความยุติธรรม ภายหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติด้วยเสียงข้างมาก ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากกรณีเงินกู้ 191 ล้านบาทว่า มีนักการเมืองและนักวิชาการต่างออกมาให้ความเห็นในกรณีดังกล่าวมากมาย ซึ่งตนเห็นว่า กรณีนี้นายธนาธร ไม่ควรใช้วิธีเอามวลชนเป็นเกราะป้องกันตนเอง เพราะเพียงแค่นายธนาธร ประกาศออกไปว่าจะชุมนุม บรรดาผู้สนับสนุนต่างก็ออกมาตามคำประกาศของนายธนาธร ซึ่งสร้างความไม่สบายใจกับคนไทยเป็นอย่างมาก ทั้งๆ เป็นเรื่องที่สามารถจัดการได้ด้วยข้อเท็จจริงต่อศาลฯ ว่า ทำไมถึงต้องมีการให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงิน

ดังนั้นการออกมาให้ประชาชนเป็นเกราะป้องกันตนเองนั้น ถือเป็นความผิดพลาดและปราศจากความชอบธรรมในการให้ประชาชนออกมา 

"คนไทยมีบทเรียนและถอดบทสรุปออกมาได้แล้วว่า ไม่ว่านักการเมืองฝ่ายไหนออกมาเชิญชวนประชาชน ให้ลงมาบนถนน เพื่อเรียกร้องทางการเมืองนั้น ผลที่สุดก็คือประชาชนบาดเจ็บล้มตาย และไม่ได้ในสิ่งที่สมกับประชาชนออกมาทุ่มเทให้กับนักการเมือง ดังนั้นขณะนี้ประเทศชาติเข้าสู่วิถีทางของประชาธิปไตย และนายธนาธรก็พูดเองไม่ใช่หรือว่า จะขอสู้ในระบบรัฐสภาถึงที่สุด ดังนั้น ผมขอร้องว่าอย่าทำอะไรให้ประเทศชาติและประชาชนต้องพลอยมาเดือดร้อนเพราะการทำผิดพลาดของคุณอีกเลย" นายชัยชนะกล่าว

ราเมศ ย้ำทุกฝ่ายควรยึดหลักความสงบ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เชิญชวนคนมาร่วมชุมนุมแสดงพลังว่า ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวเพราะเชื่อว่าไม่เป็นผลดีกับประเทศ ทุกฝ่ายอย่ามุ่งเอาชนะคะคานกันจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของประเทศ ประเทศกำลังก้าวไปข้างหน้า คนที่ถูกฟ้องคดีไม่มีใครที่คิดว่าตนเองได้รับความเป็นธรรมแต่สิ่งหนึ่งที่นักสู้ต้องทำคือการนำความจริงเพื่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญได้รับรู้ กระบวนการของศาลมีขั้นตอนในการพิสูจน์อีกมาก เมื่อ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็จะมีการตรวจคำร้องว่าจะรับคำร้อง กกต.หรือไม่

เมื่อรับก็จะต้องมีขั้นตอนต่อไปคือการให้พรรคอนาคตใหม่ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในสิบห้าวัน สามารถขยายได้ถ้าไม่สามารถดำเนินการรวบรวบพยานหลักฐานทัน เมื่อเข้าสู่การพิจารณาทุกฝ่ายสามารถนำข้อเท็จจริงสู่ศาลได้ง่ายกว่าคดีปกติเพราะศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบการไต่สวน คือนอกจากคู่กรณีนำพยานมาสู่ศาลเองแล้วศาลยังสามารถไต่สวนแสวงหาพยานหลักฐานเองได้เช่นกัน ก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยทุกฝ่ายสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้คือกระบวนการตามครรลองที่กฎหมายกำหนด หากนำกระแสภายนอก การปลุกเร้าภายนอกมาเป็นมาตรการในการกดดันศาลรัฐธรรมนูญเชื่อว่าไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ ประเด็นคดีนี้ไม่สลับซับซ้อนพิสูจน์ว่าเป็นเงินที่ชอบด้วยกฎหมายก็จะไม่เข้าองค์ประกอบกฎหมาย ไม่ควรใช้ประชาชนมาเป็นองค์ประกอบในการต่อสู้คดี

'เทพไท' มองขัดแย้งใหม่จาก 2 ปัจจัย

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ถ่ายทอดสุดเฟซบุ๊กไลฟ์ จากสภากาแฟ ร้านป้าดุลย์ เขตเทศบาลตำบลนาสาร อ.พระพรหม กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวนอกสภาของพรรคอนาคตใหม่ แม้ว่านายธราธร จะถูกตัดสิทธิออกจากการเป็น ส.ส.แล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงสถานะความเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ และยังมี ส.ส.ในสังกัดของพรรคอีก 80 คน น่าจะใช้การเคลื่อนไหวการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรก่อน จะเหมาะสมกว่าการเคลื่อนไหวนอกสภา เพราะอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายในสังคมไม่ต้องการ เพราะสังคมไทยควรจะก้าวผ่านความขัดแย้ง และการชุมนุมของกลุ่มเสื้อสีต่างๆ ได้แล้ว

วันนี้สังคมก็คงไม่อยากเห็นม็อบเสื้อสีส้มอีกครั้ง อยากจะก้าวข้ามความขัดแย้งเพราะทำให้สังคมไทยเสียโอกาส จมปลักอยู่กับความขัดแย้งเที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานับสิบๆ ปี วันนี้อย่าปล่อยให้ใคร หรือกลุ่มการเมืองใด จับเอาประเทศไทยเป็นตัวประกันทางการเมืองต่อไปอีกเลย

ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เคยออกมาเตือนให้ระวังความขัดแย้งรอบใหม่จะเกิดขึ้น ด้วยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และวันนี้ได้เป็นจริงตามที่ได้ตั้งข้อสังเกตุไว้ ซึ่งความขัดแย้งรอบใหม่นี้ เกิดขึ้นจากปัจจัย 2 ประการคือ

1.เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 60 ในประเด็นของที่มาในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา และการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล

2.เกิดขึ้นจากตัว พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ที่เปลี่ยนสถานะตัวเองจากคนกลาง มาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ด้วยปัจจัย 2 ข้อนี้ อาจนำไปสู่การขัดแย้งในสังคมรอบใหม่ได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถอดสลักความขัดแย้งออกไปก่อน ด้วยการเร่งผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายในสังคม ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และในตอนนี้ญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหา และแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย