ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า วันที่ 3 เม.ย. 2566 เวลา 10.30 น. 'เบนซ์' - อรรถสิทธิ์ นุสสะ พร้อมทนายความจากภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เดินทางมาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อยื่นฟ้องคดีต่อ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” กรณีปล่อยปะละเลย “พ.ต.ท.พีรรัฐ โยมา” อดีตรองผู้กำกับการสืบสวน สน.ดินแดง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้กำกับการ สน.สุวินทวงศ์ และตำรวจนายอื่น ร่วมจับกุมและนำตัวเบนซ์ไปทำร้ายร่างกายและบังคับให้รับสารภาพในห้องฝ่ายสืบสวนของ สน.ดินแดง
โดยกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2564 เวลาประมาณ 18.00 น. อรรถสิทธิ์ นุสสะ ได้เดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรมจุดเทียนไว้อาลัยและทวงถามความยุติธรรมให้แก่ วาฤทธิ์ สมน้อย เยาวชนอายุ 15 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตหน้าสน.ดินแดงระหว่างที่มีการชุมนุมในบริเวณดังกล่าว โดยระหว่างที่เข้าร่วมกิจกรรมไว้อาลัย อรรถสิทธิ์ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดินแดง เข้าจับกุมและควบคุมตัวไว้ใน สน.ดินแดง เป็นเวลาหนึ่งคืน และถูกซ้อมทำร้ายร่างกายในคืนนั้น จนปรากฏเป็นภาพถ่ายบาดแผลที่อรรถสิทธิ์มีเลือดออกด้านในดวงตา ก่อนที่อรรถสิทธิ์จะได้รับการปล่อยตัวในช่วงบ่ายของวันที่ 30 ต.ค. 2564
“สำหรับคดีอาญา เราแจ้งความหลังเกิดเหตุเพียง 1 วัน แต่ตอนนี้เป็นเวลากว่า 1 ปี 5 เดือนแล้ว ยังคงไม่มีความคืบหน้าและไม่ได้รับการแจ้งว่าคดีไปอยู่ที่ส่วนไหนแล้ว” พรพิมล มุกขุนทด ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมกล่าวถึงความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรม
“เรามีการทำหนังสือติดตามไปที่ สน.ดินแดง หลายครั้งเพื่อสอบถามว่าความคืบหน้าของคดีเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับกลับมา ส่วนการร้องเรียนที่ดีเอสไอ ก็ได้มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่าเรื่องนี้เป็นคดีทรมาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาณและอุ้มหายฯ หรือไม่ ปัจจุบัน ผลของคดีนี้ยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์คำสั่ง ยังไม่ได้รับผลการดำเนินการล่าสุด”
เมื่อสอบถามถึงต้นเหตุของการฟ้องคดีครั้งนี้ เบนซ์ให้คำตอบว่าคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากความล่าช้าของกระบวนการที่เกิดขึ้น
“มันทำให้เราไม่ไว้วางใจต่อกระบวนยุติธรรมเลย ทั้งตัวผม ครอบครัวและคนใกล้ชิด จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พวกเขาไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่าเดิม เพราะว่าด้วยความที่มาทำอะไรแบบนี้ จากที่เคยไว้ใจ ก็ไม่ไว้ใจแล้ว ถือว่าเป็นความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรม”
“การฟ้องคดีนี้ ผมเพียงแค่คาดหวังว่า ถ้าชนะก็คงเป็นการสร้างบทเรียนกับเจ้าหน้าที่รัฐว่า เฮ้ย! คุณทำอะไรแบบนี้ไม่ได้ ถ้าคุณทำ คุณมีราคาที่ต้องจ่าย เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
หลังจากให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนเสร็จ เป็นเวลาราวสิบเอ็ดนาฬิกาพอดิบพอดี เบนซ์และทนายความได้เดินเข้าไปยังภายในศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อยื่นฟ้องคดีตามที่ได้ตั้งใจไว้ กระบวนการยื่นฟ้องใช้เวลาไม่นาน เพียง 1 ชั่วโมงนับจากการแจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่งานรับฟ้อง ศาลแพ่งก็ประทับตรารับฟ้อง เป็นหมายเลขคดีดำที่ พ709/66 และนัดไต่สวนขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในวันที่ 29 พ.ค. 2566 เวลา 09.00 น.
“ในคำฟ้องครั้งนี้ อรรถสิทธิ์เรียกร้องให้มีมาตรการเชิงลงโทษต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ปรีดา นาคผิว อีกหนึ่งทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม อธิบายถึงเนื้อหาของคำฟ้อง
“สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานผู้กำกับดูแลที่จะต้องตรวจสอบและเคร่งคัดในการดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ไม่ให้ก่อเหตุทำร้ายประชาชนหรือซ้อมทรมานเช่นนี้อีก คดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญคดีหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับศาล ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรกระบวนการยุติธรรมที่ยังมีความหวังมากพอจะให้อรรถสิทธิ์ฝากที่พึ่งไว้ได้ นอกจากในชั้นตำรวจซึ่งเป็นกระบวนการชั้นต้นแล้ว”
“นอกจากนี้ สังคมยังควรจะได้ช่วยกันจับตามองและส่งเสียงดังๆ ไปยังรัฐในทุกระดับ ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือฝ่ายปกครองใดๆ ซึ่งมีสิทธิ์ในการควบคุมตัวบุคคลได้ก็แล้วแต่ จะต้องระลึก ตระหนัก และกระทำการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าผู้มีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมกลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรมเสียเอง นี่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญอย่างนึงที่อรรถสิทธิ์ได้มาร้องเรียนให้ดำเนินกระบวนการคดีทางอาญาแก่เจ้าหน้าที่ แล้วก็เป็นการใช้สิทธิทางแพ่งที่มีบุคคลทำให้เขาได้รับความเสียหาย เป็นมาตรฐานที่สำคัญ”
เมื่อถามถึงความคาดหวังต่อสาธารณชน ปรีดาเผยว่า อยากให้ช่วยกันผลักดัน พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ อย่างเต็มรูปแบบ
“มาตรการที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ คือ การกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องติดตั้งกล้องและถ่ายทำตลอดเวลาขณะจับกุมผู้ต้องหา จับกุมที่ไหน อย่างไร แต่ในปัจจุบัน มาตรการดังกล่าว กลับถูกรัฐบาลออกพระราชกำหนดมายกเว้นการบังคับใช้ส่วนนี้ไป สิ่งนี้เป็นส่วนที่รัฐต้องปรับปรุง เพราะเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ปกป้องประชาชน ควรจะต้องเร่งรีบและดำเนินการบังคับใช้เสีย”