วันนี้ (28 สิงหาคม 2568) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับนายเดวิด เดลี (H.E. Mr.David Daly) เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป( EU )ประจำประเทศไทย ในโอกาสอำลาตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวขอบคุณและแสดงความชื่นชมในบทบาทของเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ประจำประเทศไทยที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยและสหภาพยุโรปอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่จะสานต่อและขยายความร่วมมือกับสหภาพยุโรปให้แน่นแฟ้นและรอบด้านยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ไทย–สหภาพยุโรปให้มีความมั่นคงและเข้มแข็งในทุกมิติ
เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ กล่าวถึงความสัมพันธ์ไทย–สหภาพยุโรปที่มีพัฒนาการที่มั่นคงและก้าวหน้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมยืนยันถึงความพร้อมของสหภาพยุโรปที่จะสนับสนุนและร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดในการยกระดับความสัมพันธ์ให้มีความเข้มแข็ง ครอบคลุม และยั่งยืน ตลอดจนย้ำว่าการผลักดันกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านระหว่างไทย-สหภาพยุโรป (Comprehensive Partnership and Cooperation Agreement - PCA) ถือเป็นกลไกการหารือทวิภาคีที่สำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในระยะยาว โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์และค่านิยมที่ทั้งไทยและสหภาพยุโรปมีร่วมกันอย่างรอบด้านและครอบคลุมทุกมิติ
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นความร่วมมือที่สำคัญร่วมกัน ดังนี้
ด้านสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา รองนายกรัฐมนตรีฯ ขอบคุณสหภาพยุโรปที่ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ตลอดจนแสดงความห่วงใยต่อเสถียรภาพ ความมั่นคง และสันติภาพของทั้งสองประเทศ พร้อมย้ำว่าการสนับสนุนจากสหภาพยุโรปมีส่วนช่วยอย่างสำคัญต่อการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และช่วยคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนให้กลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น ซึ่งเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ได้แสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมยืนยันถึงความตั้งใจและความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงความเชื่อมั่นว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ผ่านสันติวิธี ลดระดับความตึงเครียด และนำไปสู่ความมั่นคงและสันติภาพที่ยั่งยืนในระยะยาว
ด้านความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (FTA) รองนายกรัฐมนตรีฯ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มั่นคงและก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนและท้าทาย พร้อมยินดีที่การเจรจา FTA รอบล่าสุดที่จัดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ณ กรุงเทพฯ สามารถตกลงในหลักการได้แล้ว 7 ข้อบท จาก 24 ข้อบท ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญและสะท้อนถึงความคืบหน้าของการเจรจา ด้านเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ได้ยืนยันความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับไทยอย่างใกล้ชิด ในการเจรจา FTA ไทย-EU ครั้งต่อไป (รอบที่ 7) ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ระหว่างวันที่ 29 กันยายน ถึง 3 ตุลาคม 2568 เพื่อผลักดันให้การเจรจาความตกลงการค้าเสรีสามารถเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมและเอื้อต่อการขยายตลาดของทั้งสองฝ่ายในระยะยาว และเชื่อมั่นว่าความตกลง FTA ฉบับนี้จะเป็นความตกลงการค้าเสรีที่สะท้อนถึงการผสมผสานประเด็นการค้าแบบดั้งเดิมกับประเด็นร่วมสมัย อาทิ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจโลกยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
ด้านการประมงที่ผิดกฎหมายฯ(IUU) รองนายกรัฐมนตรีฯ ขอบคุณสหภาพยุโรปที่ให้ความสำคัญต่อประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำถึงความก้าวหน้าของไทยในการดำเนินมาตรการแก้ไขอย่างจริงจังและเข้มงวด จนสามารถยกระดับการจัดการประมงให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ส่งผลให้ไทยได้รับการยกเลิกสถานะใบเหลือง อยู่ในสถานะ “IUU-Free” และได้รับการจัดให้อยู่ใน Tier 2 ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม ที่ผ่านมาไทยได้ปรับปรุงพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 (ค.ศ.2015) เพื่อส่งเสริมการทำการประมงอย่างยั่งยืนควบคู่กับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตชาวประมงไทย พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ยืนยันว่าสหภาพยุโรปพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับไทยในการผลักดันการทำประมงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมประมงไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของชาวประมง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฐานทรัพยากร ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมในภาพรวม
ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า “ไทยยึดมั่นในกติกาสากล และพร้อมทำงานเคียงข้างสหภาพยุโรปในฐานะหุ้นส่วนสำคัญ เพื่อผลักดันความร่วมมือในทุกมิติ ครอบคลุมประเด็นท้าทายยุคใหม่ อาทิ การปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมทางไซเบอร์ ตลอดจนการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของภูมิภาคและประชาคมโลกโดยรวม”