วานนี้ เมื่อเวลา 21.00 น.ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเลย พรทิพย์ วงคุยธ์ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านจังหวัดเลย พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชนที่เข้ามาสนับสนุนการต่อสู้ขเรื่องการฟื้นฟูเหมืองทองคำจังหวัดเลยอย่างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีที่มีชายต้องสงสัยตัดผมเกรียน 2 คนคุกคามด้วยการแอบตามถ่ายรูปและตามเจาะถ่ายทะเบียนรถของกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯและเครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน
พรทิพย์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าคืนนี้วันที่ 3 ก.พ. เธอมาทานข้าวกันที่ร้านข้าวต้มแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย และระหว่างที่กำลังทานข้าวกันก็มีน้องในทีมสังเกตเห็นว่ามีคนมาแอบถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอในร้านอาหาร ซึ่งในระหว่างที่ถูกแอบถ่ายก็มีผู้การจังหวัดเลย และเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายนั่งทานข้าวที่ร้านนั้นด้วย เท่านั้นยังไม่พอระหว่างที่เดินกลับไปยังรถ ชายหัวเกรียน 2 คนก็ยังเดินตามถ่ายไปที่รถรวมถึงถ่ายวีโอเจาะทะเบียนรถของเธอ และกลุ่มทุกคนด้วย จึงเดินเข้าไปถามว่ามาถ่ายรูปทำไม เป็นใคร มาจากไหน ชาย 2 ก็เดินหนี ซึ่งในระหว่างเดินหนี เธอและกลุ่มก็จี้ถาม ชาย 2 คนจึงเลยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจร จนเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาระงับเหตุและนำมาสู่การแจ้งความในครั้งนี้
พรทิพย์ ให้ข้อมูลต่อว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมาเพิ่งมีลูกจ้างของกรมการปกครอง อ.วังสะพุงเข้าไปยิงปืนข่มขู่ในหมู่บ้าน ในขณะที่กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ เฝ้าระวังการขนแร่จากบริษัทเอกชนที่ทำการประมูลสินแร่ได้ ที่ผ่านมาทางกลุ่มเจอปัญหาเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยมาตลอด เมื่อเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกก็ยิ่งทำให้ขวัญเสีย และหวาดกลัวมากขึ้น ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2557 ก็มีเหตุการณ์ขนแร่เถื่อน และมีการนำชายฉกรรจ์หลายร้อยคนเข้าไปทุบตีคนในหมู่บ้าน วันนี้ก็มีเหตุการณ์ชายหัวเกรียนมาตามถ่ายรูปแบบนี้อีก และเจ้าหน้าที่ตำรวจแทบจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย ก็เลยยิ่งทำให้เกิดแผลในใจของพวกเราอีก
พรทิพย์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในระหว่างที่แจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจทำความเข้าใจยากมากในการลงบันทึกประจำวัน มันเป็นความรู้สึกไม่ปลอดภัยของประชาชนที่อยู่ดีๆ ก็มีคนมาถ่ายรูป ถ่ายทะเบียนรถ ในบันทึกประจำวันระบุชัดเจนว่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนหาว่าผู้ชาย 2 คนที่มาตามถ่ายรูปนั้นเป็นตำรวจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐหน่วยงานไหนหรือไม่อย่างไร แล้วรับคำสั่งมาจากใครให้มาปฎิบัติการแบบนี้เพื่ออะไร ซึ่งเธอจะทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาของทั้ง 2 คน และจะทำหนังสือผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแห่งชาติให้ให้คำตอบในเรื่องนี้ให้กระจ่างเพื่อไม่ให้เขาไปแบบนี้กับประชาชนคนอื่นได้
"มันเป็นการละเมิดสิทธิและคุกคามประชาชนมากๆ และหากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและต้องการจะถ่ายรูปเราก็เอาบัตรมาแสดงและแนะนำตัวพร้อมบอกเหตุผลในการถ่ายเสียก่อนว่ามีวัตถุประสงค์นการถ่ายรูปของเราไปทำไมและต้องได้รับการยินยอมจากเราเสียก่อนถึงจะทำการถ่ายรูปเราได้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเรามันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติและสร้างความไม่สบายใจให้กับพวกเรามากๆ" พรทิพย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการสอบสวนแล้วพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงๆ อยากจะบอกอะไรกับผู้ที่เข้ามาคุกคามชาวบ้านในลักษณะแบบนี้ พรทิพย์กล่าวว่า หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะหากเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีทั้งอำนาจ หน้าที่ และอาวุธอยู่ในมือชาวบ้านก็จะรู้สึกถึงความหวาดกลัวและความไม่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปกป้องคุ้มมครองประชาชน แต่การกระทำของผู้ชาย 2 คนนี้คือการคุกคาม ดังนั้นหากชาย 2 คนนี้เป็นตำรวจจริงผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 คนจะต้องมาแถลงการณ์กล่าวขอโทษพวกเราอย่างเป็นทางการไม่งั้นเราไม่ยอม ต้องออกมาบอกว่าเหตุใดลูกน้องของท่านถึงมาทำแบบนี้กับชาวบ้าน
ขณะที่ ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนจากองค์กร Protection International (PI) ที่ทำงานด้านการดูแลคุ้มครองและปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดในยามวิกาลในเวลา 20.45 น. และชายสองคนที่มาตามถ่ายรูปก็ไม่ได้แต่งเครื่องแบบมาและอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ไม่ได้ให้ชื่อและตำแหน่งให้เหตุผลเพียงว่ามาถ่ายเพื่อเหตุจราจรซึ่งก็ไม่ใช่เพราะตรงที่รถจอดอยู่ คือพื้นที่ที่สามารถจอดรถได้ แล้วมีการบันทึกวีดีโอภาพถ่ายทุกคนและรถทุกคันของเราซึ่งพฤติการณ์ของผู้ชายทั้ง 2 คนทำให้สงสัยว่าบันทึกไปทำไม อย่างที่ทราบว่าในปัจจุบันสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหลือน้อยเต็มที ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตามถ่ายรูปพวกเราตลอดเวลา คำถามก็คือถ่ายไปทำไม และใครเป็นสั่งการ
“หลังจากที่เราลงบันทึกประจำวันแล้วเราก็ต้องการให้ผู้การจังหวัดเลยออกมาชี้แจงกับประชาชนและชี้แจงกับพวกเราด้วย ว่าผู้การจังหวัดเลยได้สั่งให้ชาย 2 คนที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาดำเนินการแบบนี้หรือเปล่า ช่วยชี้แจงว่ามาเก็บข้อมูลของพวกเราไปทำไม ในเมื่อพวกเราเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เราทำทุกอย่างโปร่งใส มีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดไปยื่นหนังสือให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดเมื่อวาน ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาดูแลความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิฯ หากการมาคุกคามในครั้งนี้เป็นการสั่งการจากเจ้าหน้าที่ตรวจก็จะกลายเป็นว่าตำรวจเป็นปรปักษ์กับประชาชน งานของนักปกป้องสิทธิฯ เป็นการทำงานที่ชอบธรรม ดังนั้นเราเรียกร้องถึงผู้การจังหวัดเลยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติช่วยออกมาชี้แจงว่าได้ส่งเจ้าหน้าที่ที่อ้างว่าเป็นตำรวจมาตามถ่ายรูปคุกคามประชาชนทำไมและหากเป็นเจ้าหน้าที่จริงจะต้องออกมาขอโทษ และหลังจากขอโทษแล้วจะต้องทำให้แน่ใจว่าต่อไปจะไม่มีการคุกคามประชาชนในลักษณะแบบนี้อีก อยากให้เจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลยึดมั่นกับพันธกรณีสิทธิมนุษยชนในการปกป้องคุ้มครองนักปกป้องสิทธิฯ ไม่ใช่มาคุกคามเสียเอง” ปรานม กล่าว