นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กลายเป็นผู้นำที่ถูกลงมติถอดถอนจากตำแหน่งคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ (19 ธ.ค.2562) หลังจากที่สภาล่าง หรือสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (ส.ส.) ได้จัดอภิปรายครั้งประวัติศาสตร์ด้วยญัตติการขอถอดถอนนายทรัมป์ให้พ้นจากตำแหน่ง ในคืนของวันที่ 18 ธ.ค. ช่วงเวลา 20.30 น. ตามเวลาของสหรัฐฯ
การโหวตดังกล่าวเป็นการลงมติเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหา 2 ข้อ ซึ่งระบุว่านายทรัมป์กระทำความผิดด้วยการใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้ตนเอง
ข้อหาแรกคือการพยายามใช้งบประมาณทางการทหารล็อบบี้ผู้นำและรัฐบาลยูเครนเข้ามาแทรกแซงการสืบสวนอดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และลูกชาย กรณีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจพลังงานในยูเครน เพื่อประโยชน์ต่อการเลือกตั้งของนายทรัมป์เองในปี 2563 ซึ่งในข้อหานี้ทางสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 230 ต่อ 197 เสียง
ส่วนข้อหาที่ 2 คือการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ กระทำการขัดขวางการทำงานของสภาคองเกรสเพื่อไม่ให้ดำเนินขั้นตอนการถอดถอนตนเอง โดยสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 229 ต่อ 198 เสียง
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการลงมติในขั้นแรกเท่านั้น ขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือการโหวตในสภาสูงหรือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งพรรครีพับลิกันของนายทรัมป์ครองเสียงข้างมากอยู่ อีกทั้งการจะผ่านสภาสูงได้นั้น ญัตติการขอถอดถอนนายทรัมป์ให้พ้นจากตำแหน่งต้องใช้คะแนน 2 ใน 3 ของสภาสูงอีกด้วย
การลงมติดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์การแสดงจุดยืนไม่ยอมรับในตัวประธานาธิบดีครั้งสำคัญและสร้างความอับอายของผู้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อย่างยิ่ง เพราะในประวัติศาสตร์มีผู้นำสหรัฐฯ เพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่ถูกโหวตถอดถอนเช่นนี้ โดย 2 คนก่อนหน้า ได้แก่ นายแอนดรูว์ จอห์นสัน และ นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดี
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของ นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ด้วย เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยเห็นด้วยกับการผลักดันให้เกิดการโหวตถอดถอนประธานาธิบดี เพราะเห็นว่าเป็นการสร้างความแตกแยกที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรง โดยเธอได้กล่าวก่อนเริ่มการลงมติว่า กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐฯคือเรื่องน่าเศร้า แต่จำเป็นต้องเดินหน้าต่อเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ