ไม่พบผลการค้นหา
'อนุทิน' แจงเตรียมออก พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อสร้างความมั่นใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ให้ได้รับการดูแล ปฏิบัติงานได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลถูกฟ้องร้อง ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 9 ส.ค. นี้ยังพุ่งติดอันดับ 37 ของโลก มีผู้ป่วยสะสมในประเทศแล้ว 7.7 แสนราย

วันที่ 9 ส.ค. 2564 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์การเตรียมออก พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดชอบสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)เป็นการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ให้คณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาและบริหารวัคซีนโควิด 19 ว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีความรุนแรงและแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทั่วประเทศและทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้น ส่งผลต่อการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ ในการดูแลผู้ป่วยภายใต้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ทั้งคน งบประมาณ ยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงการบริหารจัดการ การจัดซื้อจัดหายา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์และวัคซีนเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งสภาพความเป็นจริงมีข้อจำกัดและเงื่อนไขต่างๆ ส่งผลให้ไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เนื่องจากปัจจัยในการผลิตวัคซีนและเงื่อนไขในขณะการเจรจาในขณะนั้น

อนุทิน เครื่องบรรจุ วัคซีน โควิด -7FEC-4E6C-966D-5D640186AFFE.jpeg

อนุทิน กล่าวต่อว่า กฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะให้ผู้รับผิดชอบเรื่องการบริหารจัดการ การจัดบริการทางแพทย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานโควิด-19 ทั้งหมด ได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ในภาวะวิกฤตด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยไม่ต้องกังวลกับความรับผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยเจตนาดีของผู้ปฏิบัติงาน หากเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม บุคลากรดังกล่าวก็ไม่ต้องรับผิด

รวมถึงหากผู้ที่ได้รับมอบหมายในการเจรจาหรือจัดหาวัคซีน มีเจตนาสุจริต การตัดสินใจดำเนินการเป็นไปตามหลักวิชาการที่สนับสนุนในขณะนั้น กฎหมายนี้จึงเห็นควรให้ความคุ้มครองบุคคลหรือคณะบุคคลเหล่านั้นด้วย  ซึ่งเป็นขวัญกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโรคโควิด 19 ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนที่เตรียมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ยังไม่ได้มีการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด

 “ร่างกฎหมายนี้เป็นการให้ความมั่นใจกับผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโรคโควิด 19 ให้คลายความกังวล เช่น การวินิจฉัยโรคและรักษาพยาบาล ก็ต้องทำความมั่นใจว่าเขาจะได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องของการฟ้องร้อง หากทำโดยเจตนาสุจริต ศาลก็ไม่เคยลงโทษ เราไม่ต้องการให้บรรดาแพทย์ พยาบาล มีความวิตกกังวลหากถูกฟ้องร้อง แม้จะมั่นใจว่าชนะก็ยังมีความวิตกกังวลระดับหนึ่ง เราต้องการให้แพทย์ พยาบาล มีขวัญกำลังใจเต็มที่จะได้ทุ่มเทในการรักษาพยาบาล วัคซีนก็ต้องจัดหาเข็มสาม เพื่อความปลอดภัยในการไปรักษาคนไข้ มีความกังวลให้น้อยที่สุด สุดท้ายประชาชน คนไข้ก็ได้ประโยชน์” อนุทิน กล่าว

วิโรจน์ E269BDE1-C6A9-4755-9261-C35EC8C4CFA1.jpeg

'ก้าวไกล' ค้านหัวชนฝา ไม่เอานิรโทษฯให้ผู้ปฏิบัติระดับนโยบาย

ขณะที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2564 ว่าควรแล้วหรือ ที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบกึ่งเหมาเข่ง ให้กับคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา และบริหารวัคซีน โดยระบุว่า แนวคิดสำคัญของเอกสารนำเสนอ พ.ร.ก.ฉบับนี้ คือ การตรากฎหมาย พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ โดยหลักการแล้วในสถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ การจำกัดความรับผิดทั้งทางอาญา และแพ่งให้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขที่ปฏิบัติด่านหน้า ที่ทำงานเต็มความสามารถ โดยสุจริต และไม่ได้เลือกปฏิบัติ ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ การที่สถานการณ์การแพร่ระบาดเกิดขึ้นรุนแรงอยู่ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากการตัดสินใจเชิงนโยบาย 

วิโรจน์ ระบุว่า ควรต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริง ไม่ควรที่จะออกกฎหมาย "นิรโทษกรรมแบบกึ่งเหมาเข่ง" แบบนี้ ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมี พ.ร.ก.ฉบับนี้ ก็ควรจะคุ้มครองเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติงานด่านหน้า ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายเท่านั้น แต่ไม่ควรคุ้มครอง บุคคล หรือคณะบุคคลที่มีหน้าที่ตัดสินใจในการจัดหา และบริหารจัดการวัคซีน ซึ่งหากดำเนินการด้วยความสุจริตจริง กระบวนการยุติธรรม ตามปกติ ก็คุ้มครองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายกึ่งนิรโทษกรรมล่วงหน้า แบบที่คณะรัฐประหารใช้ แบบนี้ 

"การออกกฎหมายกึ่งนิรโทษกรรมให้กับคณะบุคคลที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจเชิงนโยบายที่สำคัญแบบนี้ หากในอนาคต เราพบข้อเท็จจริงที่เป็นกรณีบกพร่องอย่างร้ายแรง หรือกรณีที่เล็งเห็นถึงหายนะที่เกิดขึ้นได้ แต่เพิกเฉย ลอยชายตามระบบรัฐราชการรวมศูนย์ เห็นชีวิตประชาชนเป็นผักปลา แล้วเราจะให้ความเป็นธรรมกับประชาชนที่ตายไปได้อย่างไร เห็นด้วยให้คุ้มครองเฉพาะบุคลากรคนด่านหน้า อย่านิรโทษล่วงหน้า ให้กับผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจเชิงนโยบาย"

ไทยขยับอันดับ 37 ยอดติดโควิดสะสมกว่า 7.7 แสนราย ตาย 6.3 พันราย

ด้าน ศบค. เปิดเผยสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 วันจันทร์ที่ 9 สค. 2564 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ในวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 19,603 ราย หายป่วยแล้ว 527,908 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 747,245 รายเสียชีวิตสะสม 6,259 ราย สำหรับข้อมูลสะสมตั้งแต่ปี 2563 หายป่วยแล้ว 555,334 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 776,108 ราย และเสียชีวิตสะสม 6,353 ราย

สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก วันที่ 8 ส.ค. 2564 พบว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 37 ของโลกหลังมียอดผู้ป่วยสะสมสูงถึง 776,108 ราย 

ส่วนผู้ได้รับวัคซีนระหว่างวันที่ 28 ก.พ. - 8 ส.ค. 2564 มีผู้รับวัคซีน สะสมทั้งหมด จำนวน 20,669,780 โดส โดยวันที่ 8 ส.ค. 2564 มีผู้รับการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 จำนวน 143,071 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 23,693 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 24,381 ราย

สำหรับจำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 15,986,354 ราย จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 4,461,861 ราย และจำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 221,565 ราย

ศบค.แจงฉีดเข็ม 3 จำนวน 1.8 แสนราย ไฟเซอร์ฉีด 2.3 หมื่นราย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าวถึงกรณีที่การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-13 บูสเตอร์โดส หรือเข็ม 3 แก่บุคลากรทางการแพทย์ ด่านหน้า รวมถึงการทยอยจัดส่งวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ ไปยังต่างจังหวัด ซึ่งมีเสียงสะท้อนว่าบางแห่งได้รับน้อยกว่าที่แจ้งความประสงค์ ว่า การฉีดวัคซีนให้บุคลากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ล่าสุดในวันนี้ กรณีวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเพิ่ม 900 เข็ม ซึ่งหากรวมนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2564 พบว่ามีผู้ที่รับการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ไปแล้ว จำนวน 182,082 ราย 

กรณีวัคซีนของไฟเซอร์ ตอนนี้มียอดรวมอยู่ที่ 39,483 ราย โดยเฉพาะที่ฉีดเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวน 23,481 ราย ส่วนการจัดสรรวัคซีนของไฟเซอร์นั้น เบื้องต้นกรมควบคุมโรคส่งให้ 50-60 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของบุคลากรที่ได้สำรวจไว้ก่อน จากนั้นจะมีการสำรวจศักยภาพการฉีดแต่ละจุด แล้วจะจัดสรรให้เพิ่มเติมอย่างแน่นอน โดยตั้งแต่วันที่ 5-6 ส.ค.ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้จัดสรรวัคซีนของไฟเซอร์ ลอตแรกลงยังหน่วยฉีดแล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง