ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดีลตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลกับพรรคชาติพัฒนากล้ายุติ หลังถูกกระแสต่อต้าน ระบุว่า ก้าวไกลต้องระลึกไว้ว่ากระแสที่ได้มาเพราะอุดมการณ์ของคนเลือก เห็นได้จากก้าวไกลไม่ได้มีการใช้เงินเลย เพราะได้มาจากหัวคะแนนธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อได้คะแนนเสียงมาเพราะอุดมการณ์ และต้องการให้พรรคยังอยู่ก็ต้องเป็นอุดมการณ์ล้วนๆ การจะเอาพรรคการเมืองระบบเก่า อาทิ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า เข้ามาเพื่อแลกกับอุดมการณ์ตนคิดว่าไม่คุ้ม หากจะทำการเมืองแบบเดิม ดังนั้นพรรคก้าวไกลต้องระมัดระวังตัวอย่างสูง จะพลาดแม้แต่ก้าวเดียวไม่ได้ เนื่องจากหากไม่ผ่านขึ้นมา พรรคเพื่อไทย ก็จะขึ้นมาเป็นอันดับสอง
ชูวิทย์ เสนอพรรคก้าวไกล ถึงวิธีการหาเสียงสนับสนุนเพิ่ม ว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย ขอให้ดำรงตัวและยันไว้อย่างนี้ เพราะคุณมีคะแนนถึง 14-15 ล้านเสียง และหากรวมพรรคเพื่อไทยก็จะได้ถึง 26-27 ล้านเสียงก็เพียงพอ ซึ่งหากจะต้องทำกับคะแนนเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตนมองว่าพรรคก้าวไกลประเมินเสียง ส.ว.มากเกินไป ควรให้สังคมตัดสินดูพฤติการณ์ ส.ว.ที่มาจากเชื้ออำนาจเก่าทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อคะแนนเสียงสังคมต้องการเปลี่ยนแปลงเยอะอย่างนี้จะต้านทานกระแสไหวหรือ
"หัวใจคือ มาตรา 112 ถ้าพรรคก้าวไกล ยอมถอยสักก้าวหนึ่ง มันดีกว่าที่คุณไปนั่งไล่เก็บเศษ 2-3 เสียง ไปกราบกราน ส.ว. เพราะที่ติดอยู่มันเป็นอุดมการณ์ล้วนๆ ว่า 112 ของคุณมันทำให้เดินหน้าไม่ได้ และเหตุที่คุณยอมถอยในเรื่องนี้ ก็เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า และไปใช้ในเวทีสภา แต่ไม่ใช่ไปเก็บเศษซากเผด็จการ เพื่อต้องการเป็นนายกฯ"
เมื่อถามย้ำว่า พรรคก้าวไกล จะอธิบายกับผู้สนับสนุนกลุ่มหนึ่งอย่างไรหากยอมถอยเรื่อง ม.112 นั้น ชูวิทย์ ระบุว่า เรื่องนี้ต้องใช้เวทีในสภา เพราะพรรคก้าวไกลได้เสียงไม่ถึง 250 ฉะนั้นต้องคำนึงถึงพรรคร่วมรัฐบาลในการดำรงอยู่ของอำนาจที่จะเปลี่ยนเรื่องอื่นๆอีกมากมาย
"ถ้าคุณตีชิ่งเรื่อง ม.112 ส.ว. ก็จะเทคะแนนมาให้คุณ(พรรคก้าวไกล) เพราะไม่มีอะไรที่จะมาติคุณได้ แต่การจะทำอย่างนั้นต้องชี้แจงให้กองเชียร์ ซึ่งนี่มันคือการเมืองถ้าคุณไม่ประนีประนอม ก็หมายความว่าคุณเป็นนักการเมืองไม่ได้หรอก มันจำเป็นต้องถอยหรือลุกบ้าง"
ชูวิทย์ ยังกล่าวถึงท่าทีคู่ปรับอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ช่วงนี้หายตัวเงียบ แล้วเผยภาพเดินทางไปที่ต่างๆ เฉพาะในโซเชียลเท่านั้น ว่า เค้าต้องรู้ตัวแล้วว่า ณ วันนี้ต้องเงียบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขายอม แต่เงียบเพื่อจะรุกต่อ ซึ่งมีท่าทีสอดคล้องกับฝ่ายอำนาจนิยมเก่า อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั่นแสดงให้เห็นว่าความเงียบของเขาไม่ใช่จะยอมแพ้ หรือมอบอำนาจให้พรรคก้าวไกลง่ายๆ โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง เห็นได้จาก พล.อ.ประยุทธ์ ก็ส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าการเมืองต่อ
"ทั้ง 3 เขาเงียบ แต่ปากบอกว่าให้ก้าวไกล จัดการทำงานเพื่อตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่เป็นเกมที่จะปล่อยง่ายๆ ฝ่ายอำนาจนิยมต่างๆรอจังหวะอยู่ เพราะการเงียบสงบของเขา แสดงถึงการหาวิธีที่จะหยุดพรรคก้าวไกล"
ในช่วงท้าย ชูวิทย์ แนะนำพรรคก้าวไกลว่า ต้องพยายามอย่างยิ่งในการใช้กระแสของประชาชนผู้ลงคะแนนซึ่งขณะนี้ประสบความสำเร็จแล้ว แต่ปัญหาต่อไปการจะทำอย่างไรให้ได้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ต้องจำเป็นให้ฝ่ายต่างๆยอมรับ อาทิ ฝ่ายอำนาจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายนายทุน ซึ่งเป็นเรื่องปกติก่อนที่จะขึ้นสู่อำนาจ พร้อมเชื่อว่าฝ่ายที่กำลังสูญเสียอำนาจไม่ได้ยอมแพ้แต่กำลังหาวิธีเพื่อจะหาช่องทางกลับมา ไม่เช่นนั้นก็ออกมายอมรับความพ่ายแพ้แล้วเหมือนในต่างประเทศ เหมือนในอดีตกรณี 'ขวาพิฆาตซ้าย' ที่ยอมไป 2-3 ปี แล้วพวกนี้ก็จะกลับอีกซึ่งจะรุนแรงกว่าเก่า