ที่ สน.ชนะสงคราม แกนนำและผู้ปราศรัย คณะราษฎร 63 เข้าทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประกอบด้วย 1. พริษฐ ชิวารักษ์ หรือ "เพนกวิน" 2. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ "รุ้ง" 3. นายภาณุพงค์ จาดนอก หรือ "ไมค์" 4. นายอานนท์ นำภา และ 5. นายปฏิวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ "หมอลำแบงค์" โดยมี กฤษฎางค์ นุตจรัส และ นรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทีมทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
นายอานนท์ กล่าวว่า รู้สึกเฉยๆ กับการถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 เป็นแค่กฎหมายที่อยุติธรรมมาตราหนึ่ง ไม่ได้ให้ค่าอะไร ซึ่งพยานหลักฐาน ปรากฎต่อสาธารณะแล้ว ว่าพูดหรือเสนอตามตามข้อเท็จจริง และพร้อมสู้ตามกระบวนการ ซึ่งจะมีการออกหมายศาลเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้การด้วย และไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำไทยคนใด ขอให้มาศาลก็แล้วกัน อย่าหนีศาล โดยยืนยันว่า ทุกคำพูดชัดเจนในตัวของมันเองว่ามุ่งหมายอะไรและถึงวันที่จะต้องออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าปัญหาของสถาบันกษัตริย์ตอนนี้เป็นอย่างไร เราหวังว่าทางสถาบันจะรับฟังในตอนแรก แต่ตอนนี้ทำให้รู้แล้วและยังใช้กฎหมายพวกนี้มาปิดปาก และย้ำว่า "เราก็สู้ต่อไปเพื่อให้ราษฎรทุกคนเป็นประจักษ์พยาน"
อานนท์ ยังระบุด้วยว่า หากจะมีข้อดีจากกรณีนี้คือ ได้เห็นความโหดร้ายของ มาตรา 112 อีกครั้งหนึ่ง โดยการใช้มาตรา 112 ปิดปากผู้ที่จะพูดความจริง จะทำให้สังคมเห็นความผิดปกติของกฎหมายมาตรานี้และดห็นความผิดปกติของบ้านเมือง จึงเป็นใบเสร็จสำคัญและเป็นใบรับรองกระบวนการยุติธรรมไทยได้เป็นอย่างดี โดยย้ำอีกด้วยว่า พวกตนไม่ได้กลัวคดีมาตรา 112 เหมือนที่พวกตนไม่ได้กลัวผี
"พวกคุณเอาผีมาหลอกคนที่ไม่กลัวผี แล้วพากันดีอกดีใจ ว่าเรากลัว คือเราไม่ได้กลัว" พร้อมเปิดเผยว่า "ปีหน้าหนักแน่ ตู้คอนเทนเนอร์ต่างๆไปหามาเพิ่มได้เลย ยืนยันว่า มันสนุกกับการต่อสู้กับคนที่มีสติปัญญาไม่ค่อยดี มันสนุก" อานนท์ กล่าว
ส่วน "เพนกวิน" ได้ยกสํานวนสุภาษิตไทยโบราณสุภาษิตไทยโบราณว่า "ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ เมื่อราษฎรลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสถาบันกษัตริย์ ถ้าสถาบันกษัตริย์มีท่าทีที่จะรับฟังราษฎร ราษฎรก็จะเห็นว่าสถาบันกษัตริย์ใจกว้าง แต่ถ้าสถาบันกษัตริย์ตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นด้วยการใช้มาตรา 112 ไล่ปิดปากราษฎร มันจะแสดงให้ราษฎรทั้งหลายรวมถึงประชาคมโลกได้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์ไทยกลัวความจริง"
"ไมค์ ระยอง" กล่าวว่า การแจ้งข้อกล่าวหา มาตรา 112 เพิ่มกับกลุ่มตน หลังแจ้งข้อหาอื่นๆ และคุมขังมาแล้ว อาจจะมีคำสั่งจากใครคนใดคนหนึ่งหรือเปล่า ต้องหาข้อเท็จจริง แต่มองว่า การใช้มาตรา 112 ไม่ทำให้กลุ่มตนชะลอหรือหยุดการเคลื่อนไหว เพราะมาตรา 112 ไม่ใช่อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่อะไรนักและยังเป็นกฎหมายที่ควรถูกยกเลิก โดยกล่าวด้วยว่า แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ไม่มีกฎหมายห้ามหมิ่นประมาท แต่ชอบพูดเคารพบูชา มาจนปัจจุบันและศาสนาพุทธอยู่ในสังคมไทยได้
ขณะที่ "รุ้ง ปนัสยา" กล่าวว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมอยู่แล้ว และอยู่ใน 1 ใน 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯของคณะราษฎร'63 จึงยืนยันว่าสิ่งที่พูดออกไปชัดเจนในตัวของมันเองว่าที่พูดไปทั้งหมดในการปฏิรูปสถาบันมีเหตุผลเพื่ออะไร และไม่ใช่การล้มล้างสถาบัน จึงอยากให้ทุกคนเป็นพยานว่า วันนี้มาตรา 112 ได้กลับมาใช้กับนักกิจกรรมทางการเมืองอีกครั้งแล้ว และอยากให้ติดตามต่อไปว่าการใช้ คดี 112 จะมีผลอะไรบ้าง แต่จะไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการเยาวชนนักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชน ซึ่งจะต้องเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อบรรลุเป้าหมายให้ได้
ด้าน "หมอลำเเบงค์" เดินทางมาจากจังหวัดขอนแก่นเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยระบุว่า ตนเป็นศิลปิน บูชาสิทธิเสรีภาพอยู่แล้ว และยืนยันว่า ไม่เคยพูดหรือดำเนินการอะไรที่เลวร้ายต่อผู้มีอำนาจจนเข้าข่ายกฎหมายอาญามาตรา 112 แม้ว่าตนเคยต้องคดีและถูกคุมขังจากข้อหานี้มาแล้ว แต่ครั้งนี้ยืนยันความบริสุทธิ์ และจะต่อสู้ให้ถึง 3 ศาลหรือถึงชั้นฎีกา พร้อมย้ำว่า เป็นหมอลำและไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน แต่ขอประนามผู้บังคับใช้กฎหมายมาตรานี้เอาผิดกับผู้เห็นต่าง
จากนั้น เวลา 16.00 น. ภายหลังการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของพนักงานสอบสอน สน.ชนะสงคราม อานนท์ ระบุว่า ทุกคนให้การปฏิเสธ หลังตำรวจเเจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา112 ยืนยันว่าทุกคนไม่มีความกังวลใดใด และอยากให้สังคมรับรู้ว่า การถูกดำเนินคดีมาตรา112 ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เป็นเพียงเรื่องที่ถูกการบังคับใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง ส่วน ไมค์ ได้เขียนข้อความไม่ประสงค์ลงลายมือชื่อ หรือ เซ็นต์ยินยอม เนื่องจาก ยืนยันว่า ไม่รับอำนาจศักดินา เเละอำนาจเผด็จการ ไม่ยอมรับมาตรา112 เป็นกฎหมาย
สำหรับการชุมนุมที่ ราบ11 วานนี้ (29 พ.ย.) ที่มีการเทสีลงบนพื้น พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผบช.น. เตรียมดำเนินคดี ออกหมายเรียกเเกนนำ อานนท์ ระบุว่า ไม่ใช่เรื่อวตื่นเต้น ตื่นตระหนกอย่างใด ยืนยันว่าทุกคนไม่กลัวการออกหมายเรียก ออกมาก็ไปรับทนาบข้อกล่าวหา
อานนท์ กล่าวด้วยว่า วันที่ 2 ธ.ค. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาศัยอยู่บ้านหลวงแม้เกษียณอายุราชการแล้ว ว่า ถ้าพิจารณาตามกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องออก มิเช่นนั้นคนที่่เกษียณอายุราชการเเล้ว อยู่บ้านหลวงกันหมด ไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนการชุมนุมหน้าศาลยังนัดตามปกติ จะมีการปราศรัยทำกิจกรรมเหมือนเดิม และขออุบบิ๊กเซอร์ไพรสไว้ก่อน ์เพราะหากบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์
3 แกนนำ กลุ่มนักเรียน "เลว" และ "ไท" รับทราบข้อกล่าวหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ หรือ มิน / เบญจมาภรณ์ นิวาส แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า นักเรียนเลว และคณพศ แย้มสงวนศักดิ์ แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "นักเรียนไท" พร้อมทนายความ และผู้ปกครอง เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของ สน.ลุมพินี ในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน บอกก่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ว่า พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากพฤติการณ์ในการชุมนุมวันที่ 15 ตุลาคม และยังไม่ทราบรายละเอียดพฤติการณ์ที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งทั้งหมด ทั้งนี้แนวทางการช่วยเหลือของทนาย ทั้งสามคนจะให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมโต้แย้งในพฤติการณ์รายละเอียดของข้อกล่าวหา โดยคดีนี้มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000บาท
ทนายความฯ มองว่า การที่เยาวชนออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศ ที่ให้สิทธิชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และกลุ่มนักเรียนเลว เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธอยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญซึ่งการที่เยาวชนออกมาเรียกร้องต่อรัฐและกระทรวงศึกษาธิการ ก็เป็นการเรียกร้องตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ต้องตั้งคำถามกับรัฐ ว่าการดำเนินคดีขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กหรือไม่
ลภนพัฒน์ บอกด้วยว่า การชุมนุมเป็นเสรีภาพอย่างหนึ่ง และการโดนโทษ ก็มองว่าไม่ยุติธรรม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการทางกฎหมายว่าจะยังไงต่อไป และในฐานะประชาชนก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
ส่วนคดีที่โดนคือฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง และหากดูจากพฤติการณ์ สิ่งที่ขึ้นตนเองขึ้นปราศรัยคือการร้องเพลงแจวเรือ ทำให้รู้สึกตลกที่มาแจ้งข้อกล่าวหา จึงมองว่า ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรกับการถูกดำเนินคดีแม้ตะเป็นคนร่วมชุมนุมหรืออยู่บนเวทีมองว่าเจ้าหน้าที่รัฐก็ควรจะดูพฤติการณ์ด้วยเพราะเชื่อว่าพฤติการณ์ของตนเองเกี่ยวข้องกับการเมืองน้อยมาก และการแสดงออกด้วยเสียงเพลงไม่น่าจะผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
ทั้งนี้การออกไปชุมนุมทางการเมืองควรเป็นเสรีภาพที่ประชาชนกระทำได้ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กก็รองรับไว้ แต่เมื่อออกไปทำกลับโดนดำเนินคดี ดังนั้นต้องตั้งคำถามว่า เหมาะสมหรือไม่ และสิ่งที่พวกตนโดนแสดงให้เห็นว่ารัฐไม่ปกติ พยายามเล่นงานคนที่ต่อต้านรัฐ และการออกหมายเรียกไม่สามารถหยุดกระบวนการเรียกร้องได้ ต่อให้แกนนำถูกจับหมดก็ตามเพราะการเรียกร้องเป็นเรื่องของอุดมการณ์ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลที่จะสูญสลายหายไป
ส่วนพรุ่งนี้ที่จะมีกิจกรรมรณรงค์ให้ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน ลภนพัฒน์ บอกด้วยว่า อยากเห็นการต่อต้านอำนาจรัฐ และการไม่ใส่เครื่องแบบไปไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับนักเรียน และส่วนตัวไม่ได้กังวลอะไร นอกจากกังวลว่าครูอาจจะกลั่นแกล้งนักเรียนหรือไม่ เพราะครูบางส่วนยังไม่เข้าใจสิทธิและเสรีภาพของนักเรียน จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันติดตามด้วย ทั้งนี้มองว่าการใส่ชุดไปเวท คือ การตั้งคำถามต่ออำนาจที่กดทับ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การปฏิรูปเพราะการปฏิรูปอยู่ที่อำนาจของรัฐและการแต่งกายเป็น1ในข้อรียกร้องของนักเรียนเลวด้วย
ทั้งนี้ในกิจกรรมรณรงค์แต่งชุดไปรเวทไปโรงเรียน ก็อยากให้ติดตามในระหว่างที่พวกตนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาวันนี้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในรอบ กทม. ในเวลา 15.00น. ทั้ง 9 สถานที่ คือกระทรวงศึกษาธิการ /อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย /แอร์พอตลิงค์พญาไท /แอร์พอตลิงค์มักกะสัน /ท่าเรืออโศก/ mrt สุขุมวิท/BTS สยาม/สกายวอล์คปทุมวัน/และ BTS ศาลาแดง
ส่วน คณพศ มองว่า การที่รัฐทำแบบนี้กับประชาชนถือเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะรัฐไม่ควรใช้ข้อกล่าวหากับคนที่ออกมาพูดความจริง โดยเฉพาะการกระทำกับเด็กและเยาวชน และในวันนี้จะมีการเคลื่อนไหวต่อ โดยจะมีการจัดกิจกรรม ช่วงเวลา 15.00 น.โดยจะมีการปราศรัยเพื่อให้ประชาชนรับทราบถึงกรณีที่รัฐใช้กฎหมายกับเยาวชนด้วย