นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า แม้ว่าสภาผู้แทนราษฎร จะผ่านพระราชกำหนดกู้เงินจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาขออนุมัติจากสภาฯ ไปแล้ว แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนประชาชนจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะทุกบาทเป็นเงินภาษีประชาชน
การใช้จ่ายเงินของรัฐบาลที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นชัดว่าไม่เห็นหัวประชาชน และไร้การตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ หลายโครงการที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดเจนว่า หมกเม็ด เอื้อประโยชน์พวกพ้อง และนายทุนใหญ่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจได้ประโยชน์จากเงินภาษีของประชาชน ดังนั้นฝ่ายค้านจึงจำเป็นที่จะต้องใช้กลไกที่มีอยู่ ในสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบ การใช้งบประมาณในโครงการของรัฐ
การดำเนินการหลายโครงการของรัฐบาลที่ผ่านมาจะเน้นในการสร้างฐานเสียงทางการเมืองมากกว่าจริงใจที่จะช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ ดังนั้น เกรงว่ารัฐบาลจะใช้เงินกู้ของรัฐบาล แบบไร้การตรวจสอบและหวั่นว่าจะเกิดความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยชี้แจงว่าจะนำเงินกู้จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ไปใช้ในโครงการใดบ้าง มีแต่เขียนกรอบการใช้เงินกว้างๆ หวั่นว่าซ้ำซ้อนกับเงินงบประมาณปี 2563 รัฐบาลอย่าอ้างว่าไม่โกงเพราะเวลาโกงไม่มีใครบอก
นพ.ชลน่าน กล่าวด้วยว่า กรณีที่รัฐบาลเห็นชอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติไปซื้อตราสารหนี้ จากบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะเป็นการอุ้มเจ้าสัวโดยตรง บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ร้องขอแต่รัฐบาลจัดให้ ดังนั้นที่บอกว่าไม่เอื้อนายทุนนั้น เป็นการพูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
"ส่วนการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มอบให้แบงก์พาณิชย์ไปดำเนินการภายใต้วงเงินที่รัฐสนับสนุนจะเป็นดาบสองคมของรัฐบาล เพราะแบงก์ก็จะเลือกลูกค้าที่เครดิตดี และมีฐานะมั่นคง ส่วนผู้ประกอบการที่กำลังจะตายหรือแบงก์ประเมินว่าไม่รอดแน่ ก็จะไม่ช่วย ดังนั้นจากนโยบายนี้จะส่งผลให้ผู้ประกอบการล้มหายตายจากมากกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้เงื่อนไขที่รัฐกำหนดจะส่งผลให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้" นพ.ชลน่าน กล่าว