นั่นคือ “พรรคลุงฉิ่ง” หรือ “ฉัตรชัย พรหมเลิศ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ถูกโฟกัสสู่สนามการเมือง ในการทำ “พรรคสำรอง” ให้กับ “ขั้วอำนาจ 3ป.” ในการเข้า “เทคโอเวอร์” พรรคเศรษฐกิจไทย
แม้ต่อมา พ.อ.สุชาติ จะปฏิเสธว่าไม่ได้ชักชวน 13 ส.ส.ภาคใต้ พปชร. ไปร่วมพรรคใหม่ แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้เคยบอกกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ไม่ได้ห้าม เพราะถือว่าเป็นสิทธิ์ พร้อมสนับสนุนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อไป และยอมรับว่าไม่ได้คุยกับ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
มาพร้อมกระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ประวิตร ไม่พอใจ พ.อ.สุชาติ ที่ออกมาประกาศเช่นนี้ โดยสิ่งที่ตอกย้ำคือเมื่อสื่อถามถึงกรณี พ.อ.สุชาติ ก็ทำให้ พล.อ.ประวิตร มีท่าทีเปลี่ยนไปทันที ผิดจากคำถามอื่นๆ
“ก็เรื่องของเขา ต้องไปถามเขา ไม่ใช่มาถามผม” พล.อ.ประวิตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า ตนเองเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯของ พปชร. ต่อไป ดังนั้นเมื่อถูกถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะย้ายไปพรรคใหม่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร จึงตอบกลับว่า “ไม่มี ไม่รู้จะตั้งรึเปล่า”
ทั้งนี้มีรายงานว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “2ป.ประยุทธ์-อนุพงษ์” กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการ พปชร. นั้น “ทรงตัว” หากดูจากท่าทีของ พล.อ.ประวิตร ที่ผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมย้ำว่า “ไม่มีอะไร เข้าใจกันดี” โดยเป็นไปในลักษณะ “ต่างคนต่างอยู่”
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง “2ป.ประยุทธ์-ประวิตร” ทั้งคู่พยายาม “จูนหากัน” โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พยายามเข้าหา พล.อ.ประวิตร หลังสิ่งที่ นายกฯ ตัดสินใจปลด “ธรรมนัส-นฤมล” ที่เปรียบเป็นการ “หักหน้าพี่ใหญ่” เพราะทั้งคู่เปรียบเป็น “มือทำงาน-กล่องดวงใจ” ของ พล.อ.ประวิตร ที่สุดท้าย พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ปลดออกจาก กก.บห.พรรค และยังคงใช้งานทั้งคู่ ทั้งงานในพรรคและรัฐบาล ผ่านการนั่ง “คณะกรรมการ” ชุดต่างๆต่อไป โดยมีระเบียบคือเป็นโดยตำแหน่ง “ชื่อบุคคล” ไม่ใช่ตำแหน่ง “รัฐมนตรี”
อีกทั้งมีความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร คือการตั้ง “ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค” 2 คนคือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” กับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายการเมือง หลัง “พีระพันธุ์” สมัครเป็น “สมาชิกพรรค” ได้เพียง 1 วันเท่านั้น
สำหรับ “พีระพันธุ์” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นมือทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จนได้ชื่อว่าเป็น “สายตรงนายกฯ” โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวแย้งว่า “เป็นคนของพรรคแล้ว”
ส่วนชื่อ “พีระพันธุ์” ที่ถูกมองเป็น “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น” เพราะจบจาก ร.ร.เซนต์คาเบรียล เป็นรุ่นพี่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง อดีตผบ.ทบ. เพียง 1 ปี ที่คบหากัน “แบบเพื่อน” ในฐานะลูกอดีตนายทหารเหมือนกัน และเป็นรุ่นน้อง พล.อ.ประวิตร ที่จบจาก ร.ร.เซนต์คาเบรียล เช่นกัน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ยอมรับถึงความคุ้นเคยกับ “พีระพันธุ์” แต่เป็นเมื่อ 13 ปีก่อน ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“เขารู้จักกับผมมาตั้งนานแล้ว คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว เมื่อปี2551 ผมเป็น รมว.กลาโหม เขาเป็น รมว.ยุติธรรม” พล.อ.ประวิตร กล่าว
ซึ่งต้องจับตาชื่อ “พีระพันธุ์” ให้ดี เพราะเคยมีการกระพือข่าวเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” มาแล้ว เพราะ “สเปกเข้าล็อค” ที่ตรงตามที่ “3ป.” มองหา คือเป็น “พลเรือน” มีภาพลักษณ์ที่ดี ที่สำคัญมี “คอนเนกชั่น” ที่เชื่อมต่อ “จุดสำคัญ” ต่างๆ ในทางการเมือง” นั่นเอง แม้ว่า พล.อ.ประวิตร จะยืนยันเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ พปชร. แต่กลับไม่คอนเฟิร์มว่าชื่อเดียวหรือไม่ หลังสื่อถามว่าเสนอกี่ชื่อ โดย พล.อ.ประวิตร ตอบแบบตัดบทว่า “เรื่องของผม”
ส่วนการตั้ง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เป็นที่ปรึกษาหัวหน้า พปชร. ด้วยนั้น พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการ “ปลอบใจ” หลังตั้ง “บิ๊กน้อย”พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา น้องรัก พล.อ.ประวิตร เป็น ประธานกรรมการยุทธศาสตร์ พปชร. ตัดหน้าไปก่อน
แต่งานนี้ก็มีการมองว่าเพื่อ “คานอำนาจกันเอง” ภายใน พปชร. หรือไม่ เพราะ “สมศักดิ์” คือแกนนำกลุ่มสามมิตร ที่ระยะหลังเข้าหา พล.อ.ประยุทธ์ มากขึ้น และการตั้ง “พีระพันธุ์” ก็ยิ่งตอกย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ ส่งคนของตัวเองเข้ามาใน พปชร. อย่างชัดแจ้ง
ในส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ที่เร่งลงพื้นที่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ล่าสุดลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยมี 13 ส.ส.ภาคใต้พลังประชารัฐ ตบเท้าต้อนรับ รวมทั้งมี ส.ส.เมืองคอนพรรคประชาธิปัตย์มาต้อนรับด้วย นั่นคือ “ชินวรณ์ บุณยเกียรติ”กับ “ชัยชนะ เดชเดโช” ตามที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้า ปชป. สั่งให้ ส.ส.พื้นที่ ไปต้อนรับ นายกฯ ด้วย
การลงพื้นที่แม้จะมี “มาตรการคุมเข้ม” หลัง ตร.ภูธรนครศรีธรรมราช ออกกฎเหล็ก 4 ข้อ โดยจะมีโทษตาม กม.อาญา แต่ในพื้นที่ก็มีกระแส “บิ๊กตู่ฟีเวอร์” เพราะเป็น “ฐานเสียง พปชร.” ซึ่งผิดกับภาพเมื่อครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ภาคอีสาน ภาคกลางตอนบน
หากเช็ค “คีย์แมน” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็น “อดีตนายทหาร” ในพื้นที่ โดยเฉพาะ “เพื่อน ตท.12” ที่ถูกโฟกัส 3 คน ได้แก่ “ผู้การชาติ”พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล ที่ออกจากราชการมาลงสนามการเมืองเมื่อ 30 กว่าปีก่อน โดยตำแหน่งในราชการสุดท้าย คือ ผบ.ร.5 พัน.4 จ.สงขลา และ ผบ.ทพ.43 จ.นราธิวาส โดย พ.อ.สุชาติ ทำการเมืองท้องถิ่น จ.สงขลา มายาวนาน มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ
“บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ที่ขณะนี้เป็น สมาชิก ส.ว. ในอดีตเป็นมือทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้ปัญหา จ.ชายแดนภาคใต้ เพราะเติบโตมาจากหน่วยทหาร จชต. ตั้งแต่เข้ารับราชการที่ ร.5 พัน.3 ค่ายสิรินธร จ.ปัตตานี หัวหน้าฝ่ายข่าวและยุทธการ หน่วยเฉพาะกิจที่ 53 จ.ยะลา และตำแหน่งประสานงานกับมาเลเซียหลายตำแหน่ง แม้ว่าบางช่วงเวลาจะออกมาโตนอกพื้นที่บ้าง แต่ก็อยู่ในกองทัพภาคที่ 4 เช่น ผบ.ร.15 พัน.3 นครศรีธรรมราช , ผอ.กองข่าว ทภ.4 เป็นต้น
“เสธ.แอ๊ด”พล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์ เพื่อน ตท.12 อดีตสมาชิก ส.ว.ชุมพร ปี51-57 เริ่มต้นชีวิตราชการพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เคยเป็น ผบ.ร.25 พัน.1 ค่ายเขตอุดมศักดิ์ จ.ชุมพร และ ผบ.ร.25 พัน.2 ค่ายรัตนรังสรรค์ จ.ระนอง หัวหน้าชุดประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (ระนอง-เกาะสอง) ซึ่ง พล.ต.กลชัย ทำการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนมายาวนาน เป็นที่รู้จักของนักการเมืองในพื้นที่ เพราะเป็นประธานกลุ่มชุมพรฟ้าใหม่ ทำงานกับภาคประชาสังคมด้วย
(พล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์)
(พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์)
(พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล)
ส่วนอีกบุคคลที่ถูกโฟกัส คือ “เสธ.หิ”หิมาลัย ผิวพรรณ เพื่อน ตท.25-จปร.36 กับ ร.อ.ธรรมนัส ที่ก็มี ส.ส.สายเสธ.หิ ภายใน พปชร. เช่นกัน และทั้ง “เสธ.หิ-ผู้กองมนัส” ก็เคยเดินเส้นทาง “ผู้กว้างขวาง” มาด้วยกัน โดย “ผู้กองมนัส” มาจากสาย “เสธ.ไอซ์”พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ส่วน “เสธ.หิ” มาทาง “เสธ.แอ๊ว”พล.อ.อัครเดช ศศิประภา
เมื่อเกิดเรื่องระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส ที่ “ความสัมพันธ์สะบั้น” ไปแล้ว งานนี้ “เสธ.หิ” ก็เปรียบเป็น “บุคคลตรงกลาง” ที่ต้องเลือก เพราะคนหนึ่งก็ “นาย” และอีกคนก็ “เพื่อน” โดย “เสธ.หิ” โตมาจาก ร.21 รอ. เป็นทหารเสือฯ เหมือน “2ป.ประยุทธ์-อนุพงษ์” นั่นเอง หากถามว่า “เสธ.หิ” เลือกใคร ก็ย่อมเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังคงความเป็น “นาย” จึงปรากฏภาพ เสธ.หิ ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม จ.สุโขทัย กับ นายกฯ และ พล.อ.อนุพงษ์
สิ่งเหล่านี้สะท้อน “ความแกร่ง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ภายใน พปชร. แม้ว่าจะ “ขาลอย” ไม่มี ส.ส. ของตัวเอง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามอุดจุดอ่อนลงพื้นที่ เข้าหา ส.ส. มากขึ้น และการเอาคนมา “คานอำนาจ” กันเอง ภายใน พปชร.
แม้การลงพื้นที่จะเป็น “ศึกวัดพลัง” กับ “2ป.” ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้อง “เสียหน้า” ไปช่วงแรกๆ แต่ในระยะหลังมาก็มี ส.ส.พปชร. ไปต้อนรับมากขึ้น แม้ในแง่ “บารมี” จะยังสู้ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ แต่ในแง่แบรนด์ ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มีกระแสที่ดีกว่า พล.อ.ประวิตร ทว่าชื่อของทั้งคู่ก็ยัง “เข็นลำบาก” ในพื้นที่ภาพรวมทั้งประเทศ
จับตาเกมการเมือง “สไตล์พยัคฆ์เฒ่า”ต่อไป !!