โดนัลด์ ทรัมป์เริ่มเดินทางเยือน 5 ประเทศในเอเชีย แต่ผู้นำประเทศเอเชียที่นายทรัมป์จะไม่ได้เจอในครั้งนี้ กลับเป็นคนที่เป็นประเด็นหลักในการเยือนเอเชียครั้งแรกของเขา นั่นก็คือ นายคิมจองอึน
นายโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มต้นภารกิจเยือนเอเชีย 10 วัน ซึ่งเป็นการเยือนเอเชียครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเขาจะไปเยือนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ แต่หัวข้อหลักในการสนทนาระหว่างทริปนี้ก็คือ เกาหลีเหนือ
นับตั้งแต่นายคิมจองอึนขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือก็เร่งพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ จนกลายเป็นหนึ่งในภัยคุกคามด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้ายแรงของสหรัฐฯ การตอบโต้กันทางวาจาระหว่างนายคิมและนายทรัมป์ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ในคาบ สมุทรเกาหลีตึงเครียดที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยล่าสุด เกาหลีเหนือเพิ่งกล่าวหาว่า สหรัฐฯ พยายามยั่วยุให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ จากการนำเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินทิ้งระเบิดมาร่วมซ้อมรบกับเกาหลีใต้ เพื่อซ้อมโจมตีเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการซ้อมรบร่วม นายทรัมป์ยังไม่มีท่าทีอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจากับผู้นำเอเชียที่จะพบ ขณะที่ทีมงานของนายทรัมป์ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปนโยบายในการจัดการกับเกาหลีเหนือได้ โดยนายฟุมิอะกิ คุโบะ อาจารย์ด้านรัฐบาลอเมริกันจากมหาวิทยาลัยโตเกียวมองว่า การคาดเดานโยบายไม่ได้ อาจทำให้ศัตรูรู้สึกกังวล แต่ก็ทำให้พันธมิตรกังวลได้เช่นกัน
ที่ผ่านมา นายทรัมป์เคยประกาศว่า การเจรจากับเกาหลีเหนือเป็นเรื่องเสียเวลา ซึ่งนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็เห็นด้วย และต้องการให้มีการคว่ำบาตรและป้องปรามทางการทหาร แต่จีน รัสเซียและเกาหลีใต้ ยังต้องการให้ใช้วิธีทางการทูตต่อไป แม้ทั้ง 3 ประเทศจะสนับสนุนการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือครั้งล่าสุดก็ตาม ดังนั้น การประชุมเอเปคจะเป็นโอกาสแรกของนายทรัมป์ที่จะได้พูดคุยกับญี่ปุ่น จีน รัสเซีย และเกาหลีใต้โดยตรง
สิ่งที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือการดึงให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มาเป็นพันธมิตร ที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ ในวิกฤตคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งการซ้อมรบร่วมระหว่างทั้ง 3 ประเทศถือเป็นเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและมีนัยสำคัญให้พันธมิตรทั้งสามไว้วาง ใจกัน
อย่างไรก็ตาม นายมุนแจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ต่างจากนายอาเบะ ตรงที่เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการทางทหารของสหรัฐฯ โดยเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายมุนประกาศว่าจะใช้สิทธิวีโตในกรณีที่สหรัฐฯ คิดจะผลักดันให้เกิดการโจมตีเกาหลีเหนือ ซึ่งนายทรัมป์กล่าวหาว่า นายมุนใจอ่อนเกินไป
เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีใต้จะมองว่า การเยือนเอเชียของนายทรัมป์ประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อ นายทรัมป์ย้ำให้มั่นใจว่า จะปกป้องเกาหลีใต้ และความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือจะต้องได้รับการแก้ไขด้วยสันติวิธี
ขณะที่นายทรัมป์พยายามกดดันให้จีนร่วมกดดันเกาหลีเหนือให้ยุติโครงการพัฒนา อาวุธนิวเคลียร์ แต่การเยือนจีนครั้งนี้ของนายทรัมป์ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากจีนก็มองว่า จีนได้ทำทุกอย่างที่ควรทำไปแล้ว เพื่อให้เกาหลีเหนือกลับเข้ามาในโต๊ะเจรจาสันติภาพ โดยเกาหลีเหนือมีเงื่อนไขว่าจะเข้าร่วมเจรจากับนานาชาติให้ผ่อนปรนการคว่ำ บาตร แต่ในฐานะที่เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ สหรัฐฯ จึงได้ปฏิเสธโอกาสในการเจรจานั้นเสียเอง
นอกจากนี้ นายจางโป๋ฮุ่ย ผู้อำนวยการศูนย์เอเชียแปซิฟิกศึกษาของมหาวิทยาลัยหลิ่งหนานในฮ่องกงมองว่า บุคลิกของนายทรัมป์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อเรื่องเกาหลีเหนือ เพราะนายทรัมป์มีอีโก้ที่ไม่อยากให้คนเห็นว่า ใครจะมาเหนือกว่าตัวเองได้ ทำให้นายทรัมป์กับนายคิมทำสงครามน้ำลายใส่กันบ่อยครั้ง จนทำให้มีความเสี่ยงว่าจะเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ดังนั้น นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนก็คงไม่สามารถโน้มน้าวให้นายทรัมป์เจรจาทางการทูตกับเกาหลี เหนือได้